ห้องเม่าปีกเหล็ก

เอสซีบีอีไอซีเตือน ‘หนี้บีเอ็นพีแอล’ พุ่ง

โดย dave
เผยแพร่ :
44 views

เอสซีบีอีไอซีเตือน ‘หนี้บีเอ็นพีแอล’ พุ่ง ลามกลุ่มรายได้สูง-ธุรกิจใหญ่ทรุด

 

  • อีไอซี ชี้ สินเชื่อซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) กำลังเร่งปัญหาหนี้ครัวเรือนให้รุนแรงขึ้น
  • จากความสะดวกในการเข้าถึงสวนทางกับรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากพึ่งพาสินเชื่อระยะสั้นเพื่อการใช้จ่าย
  • พบสัญญาณหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่ม BNPL

 

ท่ามกลาง “เศรษฐกิจไทย” ที่ยังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า สินเชื่อรูปแบบใหม่ที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และแฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน กำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดเปราะบางสำคัญของระบบการเงิน

โดยเฉพาะบริการ Buy Now Pay Later (BNPL)  ที่แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้จ่าย แต่กำลังสะท้อนว่า ความง่ายในการก่อหนี้ อาจเร่งให้ปัญหาหนี้สะสมรุนแรงขึ้นกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ออกบทวิเคราะห์เรื่อง BNPL Buy Now Pay Later or Be NPL “ความเสี่ยงการเงินที่มาพร้อมความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น”

เป็นจุดเริ่มต้นที่ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหนี้ในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากการขาดวินัยทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างรายได้ ภาระค่าใช้จ่าย และระบบสินเชื่อที่เปิดช่องให้ก่อหนี้ได้ง่ายในช่วงเวลาที่ฐานะทางการเงินของทั้งครัวเรือนและธุรกิจยังอ่อนแรง

  • BNPL ตัวเร่งวงจรหนี้ในช่วงรายได้ฟื้นช้า

SCB EIC ประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง จากปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้า ตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านการจ้างงานและชั่วโมงทำงานที่ลดลง

ขณะเดียวกัน สินเชื่อด้อยคุณภาพยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากจำเป็นต้องลดการใช้จ่ายเพื่อชำระหนี้ หรือเข้าสู่กระบวนการ Deleveraging 

เหล่านี้สวนทางกับการขยายตัวของ BNPL และสินเชื่อดิจิทัลที่กลับสวนทางกับศักยภาพทางการเงินของผู้บริโภค

โดยผลสำรวจ SCB EIC Consumer Survey ปี 2568 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,631 คน พบว่า ภาวะการเงินของครัวเรือนไทยยังเปราะบาง และความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงสินเชื่อบางประเภทได้ง่ายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กว่า 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้สินเชื่อดิจิทัลหรือ BNPL ซึ่งมากกว่าสัดส่วนผู้ใช้บัตรกดเงินสดที่อยู่ที่ 16.5% การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการใช้ BNPL ไม่ได้สะท้อนเพียงความนิยมในช่องทางใหม่ แต่ชี้ว่าผู้บริโภคจำนวนมากกำลังพึ่งพาสินเชื่อระยะสั้นเพื่อประคองการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

โดยรากฐานของความน่าห่วงจาก BNPL อยู่ที่โครงสร้างรายได้และรายจ่ายของครัวเรือนไทย ผลสำรวจชี้ว่า กว่า 70% ของผู้บริโภคมีรายได้เท่าเดิมหรือลดลง ในขณะที่มากกว่า 90% เผชิญรายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น

ส่งผลให้ราว 1 ใน 3 ประสบปัญหารายได้โตช้ากว่ารายจ่าย โดยปัญหานี้รุนแรงเป็นพิเศษในกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/เดือน โดยกว่า 60% ของกลุ่มนี้ระบุว่ากำลังเผชิญภาวะดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ สัญญาณความเปราะบางเริ่มลามไปยังกลุ่มรายได้สูงขึ้น โดยกลุ่มผู้มีรายได้ 100,000-200,000 บาท/เดือน มีสัดส่วนผู้ที่รายได้ไม่พอรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้า

สะท้อนว่า ปัญหาทางการเงินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มฐานล่างอีกต่อไป แต่เริ่มกัดกินกำลังซื้อของกลุ่มชนชั้นกลางและบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
จากเริ่มตึงมือสู่ความเสี่ยงผิดนัด
เมื่อรายได้ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย

ภาระหนี้จึงกลายเป็นแรงกดดันหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/เดือน ซึ่งราว 1 ใน 3 มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงกว่า 60% ระดับหนี้เช่นนี้ไม่เพียงจำกัดการบริโภค แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าการชำระหนี้ในแต่ละเดือนเป็นปัญหา

แม้แต่ในกลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาท/เดือน ก็ยังมีมากกว่า 20% ที่เริ่มรู้สึกกังวลต่อภาระหนี้ของตนเอง
ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้จึงเริ่มกระจายจากกลุ่มรายได้น้อยไปสู่กลุ่มรายได้ปานกลางและสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีหนี้หลายประเภทและกลุ่มวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสินเชื่อดิจิทัลและ BNPL ได้ง่าย

หนึ่งในประเด็นที่ SCB EIC ห่วงคือผู้ใช้ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุน้อย รายได้น้อย และมีหนี้หลายประเภท โดยราว 1 ใน 3 มี DSR สูงกว่า 60% ที่น่าห่วงคือ กว่า 60% ของผู้ใช้ยอมรับว่า การเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้นทำให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ข้อมูลนี้สะท้อนว่า BNPL ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกในการบริหารกระแสเงินสด แต่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายและทำให้การก่อหนี้เกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกถึงภาระในทันที ขณะที่ผู้ใช้บริการกลุ่มนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกชะลอการใช้จ่าย และให้ความสำคัญกับการชำระหนี้เป็นอันดับแรก ผู้บริโภคกว่า 60% ไม่มีแผนซื้อบ้านหรือรถในปี 2569 จากความกังวลด้านรายได้ ดอกเบี้ย และภาระหนี้
แม้ในกลุ่มที่ยังมีแผนซื้อกว่า 80% ก็ยังประเมินว่าตนอาจเผชิญอุปสรรคด้านความสามารถในการซื้อ (Affordability) เนื่องจากราคาสินทรัพย์สูงเมื่อเทียบกับรายได้

ภาพนี้สะท้อนว่า หนี้ไม่ได้กระทบเพียงฐานะการเงินของแต่ละครัวเรือน แต่กำลังกดทับอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจโดยรวม

  • ความเปราะบางเอสเอ็มอี-สู่รายใหญ่

ความเปราะบางไม่ได้จำกัดแค่เพียงรายย่อย หรือสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคเพียงอย่างเดียวอีกต่อได้

แต่จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลจาก บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร ผ่าน “เกาะติดหนี้ธุรกิจไทยจากเครดิตบูโร”

ชี้ให้เห็นว่า หนี้ด้อยคุณภาพของภาคธุรกิจยังเพิ่มสูงขึ้น โดยสัดส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และยังแย่กว่าจุดต่ำสุดหลังโควิด-19
โดยสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 31-90 วัน ไหลไปสู่หนี้ค้างเกิน 90 วันมากขึ้น

ขณะที่หนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน ก็เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แม้ธุรกิจขนาดเล็กจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ในสัดส่วนสูง แต่ยังคงมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่น

ขณะเดียวกัน สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจขนาดกลางก็ขยับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งในมุมจำนวนบัญชีและยอดสินเชื่อคงค้าง

เมื่อพิจารณาตามพฤติกรรมการชำระหนี้ พบว่าสัดส่วนบัญชีที่อยู่ในสถานะ “Good” ลดลงต่อเนื่องในทุกขนาดธุรกิจ สอดคล้องกับการลดลงของผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียน สะท้อนว่าแม้แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าได้

การวิเคราะห์ 3 มิติของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทั้งพฤติกรรมชำระหนี้ ขนาดธุรกิจ และประเภทธุรกิจ ชี้ชัดว่า ปัญหาการชำระหนี้เริ่มลามสู่ธุรกิจรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง กลุ่มที่พักแรม และบริการ ซึ่งต้องเผชิญทั้งกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแรง และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ไม่ต่อเนื่อง

ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและย่อมในภาคการผลิต ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ต้องรับแรงกดดันจากหลายด้านพร้อมกัน ทั้งการแข่งขัน รายได้ที่จำกัด และภาระในการหมุนสภาพคล่องจากสายป่านทางการเงินที่สั้นกว่า
แก้หนี้ประสิทธิภาพลด จากความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะยังช่วยซื้อเวลาได้ แต่ข้อมูลชี้ว่า ประสิทธิผลเริ่มลดลงอย่างชัดเจน หากปรับตั้งแต่ระยะต้น สามารถฟื้นสถานะหนี้ได้ถึง 70% แต่หากเป็น NPL แล้ว โอกาสฟื้นเหลือเพียง 8% และใช้เวลานานขึ้นมาก

ที่น่ากังวลคือ บัญชีที่ปรับโครงสร้างแล้วแต่กลับถดถอยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเร็วกว่าบัญชีที่ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนว่าวังวนหนี้เสียกำลังฝังลึกในระบบ 

 

 

ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/1213926

 


dave