ปีทองของ ExxonMobil และ Chevron!!!
คงไม่น่าแปลกใจสำหรับหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานประเภทผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลก ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยราคาน้ำมันอย่าง WTI Crude Oil ได้ปรับตัวขึ้นจากราคา $46.04 ต่อบาเรล ณ สิ้นไตรมาศ 2Q2017 มาเป็น $67.04 ต่อบาเรล (ณ 31 ต.ค. 18) หรือบวกเพิ่มกว่า 45% หรือราคา Brent Crude Oil ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก $50.35 ต่อบาเรล ณ สิ้นไตรมาศ 2Q2017 มาเป็น $77.3 ต่อบาเรล (ณ 31 ต.ค. 18) หรือบวกเพิ่มกว่า 56% ส่งผลให้หุ้นยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานอย่าง "ExxonMobil" และ "Chevron" สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก FT.com พบว่า กำไรในไตรมาศ 3Q2018 ของ ExxonMobil และ Chevron ได้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเหนือความคาดหมายของตลาด เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันอื่นๆ ได้แก่ BP และ Royal Dutch Shell ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับ ExxonMobil สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2014เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
ตามรายงานระบุว่า ทั้ง ExxonMobil และ Chevron สามารถเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นใน Permian Basin of Texas และ New Mexico และยังจะมีการขยายการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งสองบริษัทได้มีการลงทุนใน Permian Basin of Texas เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย ExxonMobil ได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 57% ในไตรมาศ 3Q2018 เทียบกับ 3Q2017 ขณะที่ Chevron ได้ลงทุนเพิ่มขึ้นไปถึง 80% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่ง Pat Yarrington ซึ่งเป็น CFO ของ Chevron ได้ระบุว่า บริษัทได้มีการผลิตเพิ่มเติมถึง 150,000 บาเรลต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับบริษัทขนาดกลางที่มีการผลิตในหนึ่งเดือน
ขณะที่ Jack Williams ในตำแหน่ง Senior vice-president ของ Exxon ซึ่งดูแลการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัท กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการสร้างและวางรากฐานการโรงงานการผลิต รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในภูมิภาค Permian เพื่อเพิ่มความสามารในการแข่งขันได้ในระยะยาว
กำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของ Exxon เพิ่มขึ้นกว่า 57% จากปีก่อน ขณะที่หุ้นของ Chevron เพิ่มขึ้นกว่า $2.11 หรือประมาณ 2 เท่า ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2017
Chevron ยังมีแผนที่จะใช้เงินสดซื้อหุ้นกลับด้วยมูลค่าถึง $750 ล้าน หรือ 0.3% ของมูลค่าตามตลาด ขณะที่ Exxon กล่าวว่า ยังไม่มีแผนในการซื้อหุ้นคืนเช่นเดียวกับ Chevron
นักวิเคราะห์หลายสำนักได้คาดการณ์ว่า เงินสดที่แข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทสามารถสร้างประโยชน์โดยการซื้อหุ้นคือ (Share buyback) หรือจ่ายเงินปันผลเพิ่มมากขึ้น โดย Stewart Glickman ของ CFRA ได้คาดการณ์ว่า กำไรในสิ้นปีนี้และปีหน้า (2018 และ 2019) ของ Exxon จะสามารถสร้างเงินสดเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก ขณะที่ Chevron ได้รายงานว่า ผลการผลิตน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นประมาณ 9% ตลอดปีนี้ หรือประมาณ 2.96 ล้านบาเรลต่อวัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นถึง 22%
ส่วนการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐของ Exxon ซึ่งมีการรายงานว่า นับตั้งแต่ขาดทุน $238 ล้าน ในไตรมาศ 3 ของปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างกำไรได้ถึง $606 ล้าน ในไตรมาศเดียวกันของปีนี้ ขณะที่การผลิตนอก US สามารถสร้างกำไรได้ประมาณเกือบสองเท่าที่ $3.62 พันล้าน
สำหรับ Chevron การผลิตใน US จากที่เคยขาดทุนมูลค่ากว่า $26 ล้าน ในไตรมาศ 3 ของปีที่ผ่านมา กลับมาสร้างกำไรถึง $828 ล้าน ในไตรมาศเดียวกันของปี 2018 แม้ว่าจะต้องเสียค่าปรับในโครงการที่อ่าว Mexico มูลค่า $550 ล้าน ส่วนกำไรการผลิตนอกสหรัฐสามารถสร้างกำไรได้อย่างน่าทึ่ง โดยทำไรได้มากถึง 5 เท่า มูลค่ารวมกว่า $2.55 พันล้าน
นอกจากนั้น Exxon ยังกล่าวอีกว่า การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (Shale oil and gas) มีส่วนช่วยให้ธุรกิจโรงกลั่นเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และแสดงให้เห็นถึงการได้รับประโยชน์ร่วมกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยจะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจโรงกลั่นสามารถสร้างกำไรจากเดิมได้มากถึง 2 เท่า ซึ่งมีมูลค่ารวมที่ $961 ล้าน
ที่มา: www.FT.com