EUDR: โอกาสและความท้าทายของสินค้าเกษตรไทย

EUDR: กติกาใหม่ของการค้าโลก
EUDR (EU Deforestation Regulation) คือกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป ที่มุ่งให้สินค้าที่วางจำหน่ายในตลาดยุโรป “ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า” และไม่ก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของป่า เป้าหมายคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากการขยายพื้นที่เกษตรกรรม
กฎระเบียบนี้ครอบคลุมสินค้าเกษตรหลัก 7 รายการ ได้แก่ โค ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่เกี่ยวข้อง เช่น หนัง เฟอร์นิเจอร์ ยางรถยนต์ และช็อกโกแลต
ผู้ประกอบการและผู้ค้าที่นำเข้าสินค้าดังกล่าวเข้าสู่ตลาด EU หรือส่งออกจาก EU ต้องพิสูจน์ได้ว่าสินค้าไม่มาจากพื้นที่บุกรุกป่าหลัง 30 ธ.ค. 2020 และต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due Diligence) ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การเก็บข้อมูล (Data Collection) การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) และการลดความเสี่ยง (Risk Mitigation)
EUDR จะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่และกลางตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2025 และตามมาด้วยบริษัทขนาดเล็กในวันที่ 30 มิ.ย. 2026
ผลกระทบที่ต้องจับตา
สินค้าที่กระทบมากที่สุดของไทยคือ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งมีสัดส่วนถึง 85–90% ของการส่งออกสินค้า EUDR ไปยังสหภาพยุโรป โดยในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 1,853 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ส่วนสินค้าที่เหลือ เช่น กาแฟและโกโก้ แม้ยังมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่ถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มสูงในอนาคต
ข่าวดีสำหรับไทยคือ การจัดอันดับความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ได้กำหนดให้ไทยอยู่ในกลุ่ม “Low-Risk Country” ทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องทำ Due Diligence เพียงขั้นตอนแรกคือการเก็บข้อมูลเท่านั้น ต่างจากประเทศในกลุ่มความเสี่ยงปานกลางและสูงต้องดำเนินการครบทั้งสามขั้นตอน พร้อมทั้งถูกสุ่มตรวจสอบเข้มงวดมากกว่า ซึ่งถือเป็น “แต้มต่อ” ของไทยโดยตรงในตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
โอกาสที่เปิดกว้างและความท้าทายที่ต้องเจอ
การที่ไทยมีสถานะประเทศเสี่ยงต่ำทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และยังดึงดูดบริษัทระดับโลกที่ต้องการวัตถุดิบที่ “ตรวจสอบได้–ถูกกฎหมาย” เช่น ผู้ผลิตยางรถยนต์หรือเฟอร์นิเจอร์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือ เกษตรกรและผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ยังไม่มีระบบเก็บข้อมูลและตรวจสอบย้อนกลับ แม้จะต้องทำเพียงขั้นตอนแรก แต่ก็เป็นส่วนที่ซับซ้อนและต้องการการสนับสนุน หากจัดการไม่ทัน อาจทำให้เสียโอกาสทั้งห่วงโซ่อุปทาน ไทยจึงต้องเร่งลงทุนในระบบข้อมูลและ Traceability รักษาสถานะประเทศเสี่ยงต่ำให้นานที่สุด และผลักดันสินค้าใหม่อย่างกาแฟและโกโก้ ที่มีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดโลก
สรุป EUDR ไม่ใช่กำแพงกีดกันทางการค้า แต่คือ “สนามแข่งใหม่” ที่ใครพร้อมเรื่องสิ่งแวดล้อมจะได้เปรียบ ไทยมีแต้มต่อแล้ว แต่การจะเปลี่ยนแต้มต่อให้เป็นชัยชนะ ต้องทำให้ระบบข้อมูลและความโปร่งใสกลายเป็นจุดแข็งที่โลกยอมรับ
.
เรื่องและภาพ: สราลี วงษ์เงิน Economist, Bnomics
════════════════
ที่มาเนื้อหา. Bnomics by Bangkok Bank