ปีนี้คงต้องยกให้เป็นปีของหุ้น GL จริงๆจาก เพราะรุกคืบไปยังตลาดเพื่อนบ้านอย่างดุดัน ทั้งยังโตทางลัดด้วยการไล่ซื้อกิจการ
จะเรียกว่าหุ้นโด๊ปเสตียร์รอยด์ก็คงไม่ผิดนัก
ทั้งกำไรจากการเร่งปล่อยสินเชื่อ ราคาหุ้นที่ขึ้นมาแล้วเกิน 12 เด้งใน 2 ปี และ P/E ปัจจุบันที่ 98 เท่า!
ล่าสุดทางที่ปรึกษาทางการเงิน (IFA) แสดงความเห็นว่า ธุรกิจที่ GL กำลังจะเข้าซื้อที่ศรีลังกาและเมียนมานั้น GL อาจกำลังจะจ่าย "แพงเกินไปมาก"
แต่ผู้บริหารของ GL มองว่า IFA ประเมินมูลค่า "ผิดวิธี" จึงบอกว่าแพง ในขณะที่ ผบห. มองว่ายาวๆคุ้ม
การโตด้วยการไล่ซื้อกิจการ มักทำให้รายได้และกำไร (ทางบัญชี) โตกระโดดทันที พร้อมๆกับราคาหุ้น และสตอรี่สำหรับนักลงทุน
แต่ในระยะยาว หากซื้อกิจการมาแพงเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นและ Synergy ที่จะเกิดขึ้น
การ M&A นั้นมักจะจบลงด้วยการเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว หรือขาดทุนในที่สุด
ไม่รู้ว่างานนี้ ผถห. ใหญ่และ ผู้บริหารของ GL มองไกลๆ.... หรือมองใกล้ๆ ก็ไม่รู้ซินะ คงต้องติดตามกันต่อไป
--------------------------
หุ้น GL หรือ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หลังจากทำ All Time High และกำลังมีแผนการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเข้าซื้อหุ้นในกิจการต่างประเทศมูลค่ารวมกว่า 2.7 พันล้านบาท แต่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกเอกสารเตือนผู้ถือหุ้นว่าในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการซื้อบริษัทในต่างประเทศ รวมถึงการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ เพราะที่ปรึกษาทางการอิสระ IFA ให้ความเห็นว่าไม่ควรอนุมัติเพราะตรวจสอบแล้วว่า GL เข้าซื้อสูงกว่าราคาประเมินมาก
โดยมีรายละเอียด แบ่งเป็น :
- การซื้อหุ้น CCF ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในศรีลังกา IFA ประเมินราคาเหมาะสมได้ 64-17.46 บาท/หุ้น แต่ GL จะซื้อที่ราคา 26.35 บาทต่อหุ้น
- การซื้อหุ้น BGMM ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดในเมียนมา IFA ประเมินราคาเหมาะสมได้ 66-129.34 บาท/หุ้น แต่ GL จะซื้อที่ราคา 199.79 บาทต่อหุ้น
- การเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพเกือบ 700 ล้านบาท ให้แก่ Creation SL ซึ่ง IFA ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพที่จะออกครั้งนี้อยู่ที่ 5% โดยยังไม่รวมมูลค่าของสิทธิในการแปลงเป็นหุ้นสามัญ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ปกติของ GL ที่ความเสี่ยงระดับเดียวกันอยู่ที่ 10-3.37% เท่านั้น
คณะกรรมการบริษัทฯ ระบุว่า สาเหตุที่ IFA กับ FA ของบริษัท ให้ราคาเหมาะสมแตกต่างกัน เนื่องจากใช้คนละสูตรในการคำนวณ
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากติดตามราคาหุ้น GL ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อทางทีมผู้บริหาร ผลกำไรที่ออกมาทำ High ต่อเนื่องถึง 8 ไตรมาส และความคาดหวังโมเดลการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการรุกตลาดสินเชื่อในแถบเอเชีย จึงทำให้การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 ธ.ค.นี้เป็นที่น่าติดตามว่าผู้บริหาร GL จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้อนุมัติแผนลงทุนครั้งใหญ่นี้ได้หรือไม่
ด้าน “ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)” ได้สรุปคำอธิบายของผู้บริหาร GL ในกรณีที่ IFA ลงความเห็นว่าไม่ควรอนุมัติให้ GL ซื้อ CCF และ BGMM ดังนี้
ประเด็นแรก บริษัทฯ ชี้แจงว่าการเข้าไปซื้อ CCF ในสัดส่วน 29.99% ที่ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้นถือว่าคุ้มค่า เพราะบริษัทนี้มีขนาดใหญ่กว่า GL ในแง่สินทรัพย์ และเป็นบริษัทที่เติบโตสูง โดยให้มูลค่าของบริษัททั้งหมดไว้ที่ 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่ากำไรปี 2559 และ 2560 เป็น 22 และ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น P/E ที่ 10 เท่า ขณะที่ปรึกษาทางการเงินให้การเติบโตที่แตกต่างกันและใช้วิธี DCF ในการประเมิน ซึ่งทาง GL เห็นว่าไม่เหมาะกับการประเมินบริษัทการเงิน
ประเด็นที่สอง BGMM ทำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ และได้รับใบอนุญาตชั่วคราวตั้งแต่ปี 2555 และต่อมาได้แบบถาวรมาตั้งแต่ปี 2558 โดยเป็นบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ (non-listed) ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์เมียนมาจะไม่มีการออกใบอนุญาตอีก ดังนั้น การที่ GL เข้าซื้อก็จะเข้าสู่ธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ที่เมียนมาได้ทันที โดยไม่ต้องรอ 3 ปี ด้วยที่จะได้แบบถาวร และตอนนี้ก็ไม่เปิดใบอนุญาตให้ใคร ทางที่ปรึกษาทางการเงินได้นำไปเปรียบเทียบกับบริษัทที่จะทะเบียนในตลาดฯ (listed company) และใช้วิธี DCF ขณะที่ทาง GL ไม่เห็นด้วย
และประเด็นสุดท้าย คือเรื่องอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพ (CD) ที่ 5% นั้น ทาง GL ยืนยันว่าเหมาะสม เพราะมีเงื่อนไขคือ 1) ราคาแปลงสภาพสูงที่ 70 บาท 2) มีเงื่อนไขการไถ่ถอนก่อนกำหนด (callable) และ 3) ทำการขายในสหรัฐไมใช่ไทย (หากขายในไทย จะมีต้นทุนการแปลง (swap) ในเวลาต่อมา เพราะต้องการระดมทุนเป็นดอลลาร์สหรัฐ จึงไปออกที่สหรัฐฯ) ด้านที่ปรึกษาฯ ได้นำไปเปรียบเทียบกับหุ้นกู้ไทย ซึ่งทาง GL คิดว่าเป็นคนละประเภทกัน จึงไม่เหมาะสมในการนำมาเปรียบเทียบ
“ดีบีเอสฯ” ระบุหุ้น GL (ราคาพื้นฐาน 88 บาท) แผนการซื้อหุ้นจะมีประโยชน์ในแง่การเติบโตได้อย่างรวดเร็วในอนาคต และยังชื่นชอบ GL เพราะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วได้อย่างแข็งแกร่ง มีรูปแบบธุรกิจที่โดดเด่น ไม่จำกัดธุรกิจเฉพาะในไทย แต่รุกไปยังตลาดต่างประเทศที่มีโอกาสเติบโตมากในอนาคต ขณะที่ตลาดไทยก็ยังมีการเติบโตที่ดี (organic growth) ส่วนราคาพื้นฐานของหุ้นประเมินด้วย Price to Earning Growth ที่ 1 เท่า ครอบคลุมการเติบโตระหว่างปี 2558-61 ที่สูงถึง 64% ในแต่ละปี
ที่มา: SET, Business & Finance, Money Channel