เตรียมรับมือเศรษฐกิจชะลอ เมื่อส่งออกของไทย”เสี่ยง”ติดลบ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนกระทบต่อการค้าโลกหนักขึ้นจนถึงกลางปีนี้ จะเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของไทย ซึ่งต้องพึ่งพาภาคส่งออกเป็นหลักได้รับผลกระทบหนักขึ้น และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่สดใสอย่างที่คาดการณ์กันไว้ แม้จะมีรัฐบาลใหม่
กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกไทยเดือน พ.ค. 2019 หดตัวที่ -5.8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ -2.6% ซึ่งถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบ 34 เดือน
หากรวม 5 เดือนแรกของปี มูลค่าการส่งออกยังคงหดตัวที่ -4.5% โดยไม่รวมการส่งกลับอาวุธไปยังสหรัฐฯในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
เมื่อติดตามการส่งออกรายสินค้า พบว่าสินค้าส่งออกสำคัญที่มีการหดตัวได้แก่ สินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตสินค้าส่งออกของจีนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่เมื่อพิจารณารายตลาด พบว่าการส่งออกในหลายตลาดสำคัญมีการหดตัว
IEC ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกปี 2019 มีโอกาสต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.6% โดยจากตัวเลขการส่งออกในเดือน พ.ค. ของไทยและหลายผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคที่ยังคงติดลบต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว รวมถึงความไม่แน่นอนและความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากภาวะสงครามการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้ง จึงทำให้คาดว่าภาวะการค้าและการลงทุนของโลกมีทิศทางชะลอลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์
สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงก็ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังจีนที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ขณะที่ ผลกระทบทางอ้อมเกิดจากการที่หลายประเทศที่มีการพึ่งพาจีนมีภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง จึงทำให้การส่งออกของไทยไปประเทศดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงเช่นกัน
จากการศึกษาของอีไอซีพบว่า การส่งออกของไทยไปยังตลาดที่พึ่งพาจีนสูงกว่า มักจะมีการชะลอหรือหดตัวมากกว่าการส่งออกไปยังตลาดที่พึ่งพาจีนต่ำกว่าอย่างชัดเจน
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกในปี 2019 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.6% โดยอาจมีโอกาสหดตัวได้ในปีนี้
ปัจจัยสำคัญที่น่าจับตาในระยะต่อไป โดยปัจจัยที่น่าติดตามข้อแรกคือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มความรุนแรงได้อีก กล่าวคือในช่วงเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้ สหรัฐฯ อาจมีการพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนมูลค่าอีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มเติม และจีนเองก็อาจจะมีมาตรการตอบโต้กลับเช่นกัน โดยจะต้องดูท่าทีของผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายเดือน มิ.ย. นี้ ที่จะมีการประชุม G-20 ว่าจะออกมาในรูปแบบใด
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการปรับเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ที่ในเบื้องต้นมีแผนจะเก็บจากทุกประเทศในอัตรา 25% ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงกับสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นโดยจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
เช่นเดียวกับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทบทวนภาพการส่งออกของไทยทั้งปี 2562 โดยมีการปรับประมาณการเติบโตของมูลค่าส่งออกในปี 2562 ลงจาก 3.2% ลงเหลือ 0.0% ซึ่งหมายความว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปี 2562 จะอยู่ที่เฉลี่ย 21,561 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งมากกว่ามูลค่าส่งออกเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกที่อยู่ที่ 20,312 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยสงครามการค้าที่ส่งผลต่อภาพรวมการค้าโลกให้ชะลอตัวลงในวงกว้างส่งผลให้การส่งออกไทยในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ยังติดลบต่อเนื่อง โดยการส่งออกไทยไปตลาดจีนได้รับผลกระทบมากที่สุดซึ่งรายการสินค้าส่งออกจากไทยไปยังจีนในช่วง 5 เดือนแรกของปีหดตัวถึง -7.9 โดยสินค้าส่งออกไปจีน 10 อันดับแรกที่หดตัวสูงอยู่ในรายการสินค้าขั้นต้นและสินค้าขั้นกลาง อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าผ่านห่วงโซ่การผลิตของจีน
ดังนั้น ทิศทางการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 7 เดือนที่เหลือ (มิ.ย.-ธ.ค.) ของปี 2562 ยังเผชิญความท้าทายจากประเด็นเรื่องการกีดกันทางการค้า โดยยังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในล็อตสุดท้ายจำนวน 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงการชะลอลงของเศรษฐกิจโลก
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก