ปาร์ตี้จบแล้ว? Nvidia ดิ่ง 3.5% ลาก Tech แดงทั้งกระดาน สัญญาณอันตรายมาหรือยัง| Podcast Available
สวัสดีค่ะทุกคน ใครที่ติดตามตลาดหุ้นช่วงนี้ คงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศสบายๆ ที่นักลงทุนมีความสุขกันถ้วนหน้า แต่ล่าสุด ดูเหมือนว่าความสงบในช่วงซัมเมอร์นี้จะเริ่มมีรอยร้าวเสียแล้วค่ะ

AI Executive Summary
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี (Nasdaq) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นำโดยการดิ่งลง 3.5% ของหุ้น Nvidia ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดที่พึ่งพิงหุ้นขนาดใหญ่ (Megacaps) เพียงไม่กี่ตัว
สาเหตุหลักเกิดจากความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวเกินไป (Stretched Valuations) ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มเตือนถึงความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองที่เชื่อว่ามูลค่าที่สูงนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากเป็นการลงทุนในอนาคตที่ขับเคลื่อนโดยเมกะเทรนด์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI (AI Capex Boom) ซึ่งยังคงสร้างการเติบโตของกำไรอย่างแข็งแกร่ง
ปัจจัยชี้ชะตาในสัปดาห์นี้ คือ การกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการประชุมที่ Jackson Hole ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ตลาดคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่มีความเสี่ยงสูงหากท่าทีของประธาน Fed ออกมาแข็งกร้าว (Hawkish) กว่าที่คาด ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอีกระลอก
ภาพรวม: ภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนสูง นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบายการเงินจาก Fed ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงถูกมองว่ามีศักยภาพในระยะยาวจากกระแส AI โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ก่อนที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาสที่ 4
__________________________________________________
เมื่อคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้น Wall Street โดนเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของตลาดหุ้นอเมริกาที่พึ่งพาหุ้นยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ตัวมากเกินไป
โดยจุดศูนย์กลางของแรงเทขายในครั้งนี้คือหุ้นกลุ่มเทคฯ ค่ะ โดยดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตชั้นนำ 100 ตัวของอเมริกา ได้ร่วงลงไปถึง 1.4% ถือเป็นการปรับตัวลงแรงที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่ shock เรื่องกำแพงภาษีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเลยทีเดียว และผู้นำในการดิ่งลงครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Nvidia ที่หุ้นร่วงลงไปถึง 3.5% ค่ะ
แรงกดดันมหาศาลจากหุ้นเทคฯ นี้มันหนักหน่วงซะจนบดบังข่าวดีที่ว่ามีหุ้นกว่า 350 ตัวในดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นไปเสียมิดเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าตลาดโดยรวมยังคงถูกค้ำจุนโดยหุ้นยักษ์ใหญ่ไม่กี่ตัว หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Megacaps นั่นเองค่ะ
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้หุ้นเทคฯ โดนเทขายหนักขนาดนี้
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นักวิเคราะห์ชี้ตรงกันก็คือเรื่องของ "มูลค่าหุ้นที่ตึงตัวเกินไป" (Stretched Valuations) ค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือ ราคาหุ้นมันวิ่งขึ้นมาสูงมากจนอาจจะแพงเกินปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว
โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ตอนนี้ดัชนี Nasdaq 100 มีการซื้อขายกันที่ระดับราคาต่อกำไรคาดการณ์ล่วงหน้า (Forward P/E) สูงถึง 27 เท่า ของกำไรที่คาดว่าจะทำได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงค่ะ
เรื่องนี้ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มออกมาเตือน อย่างคุณ Michael Hartnett จาก Bank of America Corp. ก็เพิ่งจะบอกว่าการวิ่งขึ้นของกลุ่มหุ้น "Magnificent Seven" (หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ 7 ตัว) ดูจะตึงตัวเกินไปแล้ว และเขาก็ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิด "ฟองสบู่" ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาตลอดทั้งปี
เช่นเดียวกับคุณ Torsten Slok จาก Apollo ที่มองว่า แม้ AI จะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานของเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 จะถูกประเมินไว้อย่างถูกต้องเสมอไป สถานการณ์ปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับช่วงฟองสบู่ดอทคอมในยุค 90 อย่างน่าประหลาดใจเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง ก็ยังมีเสียงจากฝั่งที่ยังมองตลาดในแง่ดีที่ให้เหตุผลที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ พวกเขาบอกว่า แม้ราคาหุ้นจะดู ‘แพง’ ในวันนี้ แต่ความแพงนั้นมันสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับการคาดการณ์การเติบโตในอนาคตที่สูงลิ่ว
คุณ Bret Kenwell จาก eToro อธิบายว่า การที่นักลงทุนยอมจ่ายในราคาที่สูง ก็เพราะพวกเขากำลัง "ซื้ออนาคต" ค่ะ ตลาดคาดหวังว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดดได้จากเมกะเทรนด์อย่าง AI ซึ่งกระแสความตื่นตัวเรื่อง AI บวกกับแรงส่งของตลาด (Momentum) ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินทุนให้ไหลเข้าสู่หุ้นกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญ การวิ่งขึ้นของราคาหุ้นไม่ได้มาจากความคาดหวังลอยๆ เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับอยู่ด้วย คุณ Stephen Schwartz จาก Pioneer Financial ชี้ว่า หัวใจสำคัญที่ค้ำจุนหุ้นกลุ่มนี้อยู่คือ ‘การลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI’ (AI Capex Boom) ค่ะ
ลองนึกภาพตามนะคะ ตอนนี้บริษัททั่วโลกกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์, ซื้อชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง และพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตัวเอง ซึ่งเงินลงทุนเหล่านี้ก็ไหลกลับไปเป็นรายได้และกำไรให้กับบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้นำอย่าง Nvidia นั่นเองค่ะ
มันจึงเป็นวงจรที่ขับเคลื่อนให้ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้ยังคงแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปได้อีกไกล ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อว่าตราบใดที่เครื่องยนต์ AI ยังคงสร้างกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง ก็มีโอกาสที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปอีกได้ค่ะ
ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ "Jackson Hole"
ท่ามกลางความกังวลเรื่องหุ้นเทคฯ ที่กำลังร้อนระอุ มีอีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญที่ทุกคนในแวดวงการเงินทั่วโลกกำลังจับตามองไม่กะพริบ นั่นก็คือการประชุมสัมมนาทางเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เมือง Jackson Hole รัฐไวโอมิง ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ค่ะ
ไฮไลท์สำคัญที่สุดอยู่ที่การกล่าวสุนทรพจน์ของ ‘คุณเจอโรม พาวเวลล์’ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed นั่นเองค่ะ ที่สำคัญคือ เวทีนี้เปรียบเสมือนเวทีแจ้งนโยบายครั้งสำคัญของคุณพาวเวลล์เลยค่ะ
เขามีประวัติในการใช้เวทีนี้เพื่อส่งสัญญาณชี้นำทิศทางตลาดมาแล้ว อย่างในปี 2022 เขาก็เคยใช้เวทีนี้ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว (Hawkish) เพื่อสู้กับเงินเฟ้อจนทำให้ตลาดหุ้นร่วงหนักมาแล้ว ในทางกลับกัน ปีที่แล้วเขาก็ใช้เวทีนี้ในการส่งสัญญาณที่ผ่อนคลายลง (Dovish) และนำไปสู่การลดดอกเบี้ยในที่สุด
สำหรับปีนี้ ตลาดแทบจะฟันธงไปแล้วว่า Fed จะต้องลดดอกเบี้ย 0.25% แน่ๆ ในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ เรียกว่าราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ได้ซึมซับความคาดหวังนี้ไปเต็มที่แล้ว ปัจจัยที่ทำให้ตลาดมั่นใจขนาดนั้นก็คือตัวเลขการจ้างงานล่าสุดที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวและเป็นเหตุผลที่ดีในการลดดอกเบี้ย
แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นค่ะ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ กลับพุ่งขึ้นแรงที่สุดในรอบ 3 ปี
นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่คุณพาวเวลล์กำลังเผชิญอยู่ ว่าจะให้น้ำหนักกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัว หรือจะกังวลกับเงินเฟ้อที่อาจกลับมาอีกครั้ง
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนจะเงี่ยหูฟังในวันศุกร์นี้มีอยู่ 2 ประเด็นหลักๆ ค่ะ
เขาจะ ยืนยัน ความคาดหวังของตลาดเรื่องการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนหรือไม่? หรือเขาจะ เบรก ด้วยการบอกว่ายังต้องรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ?
เขาจะส่งสัญญาณถึง ทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาว อย่างไร? หากมีการลดจริง จะเป็นการลดแค่ครั้งเดียว หรือจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า?
และความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ หากคุณพาวเวลล์ส่งสัญญาณที่แข็งกร้าว (Hawkish) กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เช่น การแสดงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเป็นพิเศษ หรือไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ย ก็อาจทำให้ตลาดที่คาดหวังไปในทางตรงข้ามเกิดอาการ ‘ผิดหวังอย่างรุนแรง’ และอาจนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกระลอกค่ะ
สินทรัพย์อื่น ๆ ก็เคลื่อนไหวตอบรับข่าว
เมื่อหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลง เราจึงได้เห็นเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasuries) ค่ะ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี (Ten-year yields) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.30% ส่วนโลกของคริปโตเคอร์เรนซีก็ไม่รอดค่ะ สกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ปรับตัวลดลงตามสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่นกัน
ส่องประเด็นร้อนจากแดนมังกร
ข้ามมาดูฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนกันบ้างค่ะ ต้องบอกว่ามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียว เริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนกำลังอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยตัวเลขการใช้จ่ายทางการคลังในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 พุ่งขึ้นถึง 9.3% คิดเป็นเงินกว่า 21.5 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีเลยค่ะ การอัดฉีดนี้ส่งผลให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณพุ่งทำสถิติใหม่เช่นกัน
การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงนี้ดูเหมือนจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนนะคะ เพราะมีข้อมูลว่าผู้จัดการกองทุนเริ่มมองตลาดหุ้นจีนในแง่ลบน้อยลง และคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะสามารถบวกขึ้นได้เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันแล้วด้วยค่ะ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ก็ยังคงตึงเครียด สหรัฐฯ กำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานบังคับในเขตซินเจียง ขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ก็พยายามลดการพึ่งพาจีนลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น Apple ที่กำลังขยายฐานการผลิต iPhone ไปยังอินเดียถึง 5 โรงงาน เพื่อลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน
ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนก็แข่งขันกันดุเดือดสุดๆ ล่าสุด Tesla ได้เปิดตัว Model Y รุ่น 6 ที่นั่งใหม่ โดยตั้งราคามาท้าชนกับคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Li Auto โดยตรง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดครอบครัวคนชั้นกลางของจีนค่ะ
และอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ กระแสความนิยมตุ๊กตา Labubu ของบริษัท Pop Mart จากจีนที่โด่งดังไปทั่วโลก กลายเป็น Soft Power ที่ช่วยผลักดันให้รายได้ครึ่งปีแรกของบริษัทพุ่งขึ้นถึง 204% เลยทีเดียวค่ะ
ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจรอบโลก
นอกเหนือจากเรื่องหุ้นเทคฯ และท่าทีของ Fed แล้ว ยังมีข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องเลยค่ะ
เริ่มจากความเคลื่อนไหวของ Intel ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง 7% หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจาเพื่อเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท ส่วน SoftBank Group ก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศเข้าซื้อหุ้น Intel มูลค่าถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจชิปของตนเอง
ทางด้าน Meta (Facebook) ก็มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในกลุ่ม AI ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 4 ทีมย่อย เพื่อเร่งเดินหน้าไปสู่เป้าหมายการสร้าง "Superintelligence" ให้เร็วขึ้น
ส่วนประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นสงครามในยูเครน โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้นำรัสเซียและยูเครนแสดงความ "ยืดหยุ่น" เพื่อหาทางยุติสงคราม ซึ่งเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของเขาในการผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพค่ะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งค่ะ ว่าตลาดจะไปทางไหนกับความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งคำตอบทั้งหมดอาจจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของคุณพาวเวลล์ในวันศุกร์นี้ค่ะ
นอกจากนี้เอง สัปดาห์หน้าในวันที่ 27 สิงหาคม เราจะเจอกับการประกาศงบของ NVIDIA อีกเช่นกัน ทำให้เราต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดค่ะ น่าจะได้โอกาส Buy On Dip ค่ะ
ส่วนตัวมองว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเลย ตลาดแค่ไม่อยากลุ้นผลการแถลงที่ Jackson Hole ก็เลยขายออกมาก่อนดีกว่า บวกกับเดือนสิงหาคมกับกันยายนเป็นช่วงที่ตลาดชอบพักอยู่แล้วอีกด้วย ภาพก็เลยเป็นแบบเมื่อคืนแหละค่ะ
เค้าจะกลับมาซื้อกันอีกรอบในไตรมาส 4/25 ดังนั้นช่วงนี้ก็รอเก็บของกันค่ะ
ปล. เดี๋ยวคงมีสายหุ้นไทยออกมาบอก "นี่ไง ฟองสบู่สหรัฐฯ แตกแล้ว"
ที่มาเนื้อหาจาก. เพจBeauty Investor