ห้องเม่าปีกเหล็ก

คนไทยเป็นหนี้อะไรเยอะที่สุด

โดย DAVINCI
เผยแพร่ :
370 views

หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยล่าสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2565 ซึ่งทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. แถลงออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 14.64 ล้านล้านบาท เป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปลายปี 2564 ที่มีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.56 ล้านล้านบาท และถ้าย้อนหลังไปดูหนี้ครัวเรือนในแต่ละปี ก็ทำลายสถิติสูงสุดมาต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทย ก็มีการต่อหนี้มาตลอด เช่น การซื้อรถยนต์ เมื่อผ่อนครบ 5 ปี ก็เป็นเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่ ก็ทำให้จำเป็นต้องก่อหนี้ใหม่อีกรอบต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้มีรายได้เพิ่มขึ้น ก็พร้อมที่จะก่อหนี้ ทั้งการซื้อบ้าน ซื้อรถ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกต่อการครองชีพ จึงไม่แปลกที่แนวโน้มหนี้ครัวเรือนมีทิศทางสูงขึ้น ทำลายสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง

.

.

และหากเจาะเข้าไปดูในโครงสร้างของหนี้ครัวเรือนเข้าไปอีก จะพบว่า หนี้ก้อนใหญ่ที่สุด มีสัดส่วนมากกว่า 85% หรือ มูลค่า 12.56 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ที่มีต่อสถาบันรับฝากเงิน ทั้งธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มนี้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี และมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ และการที่ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้เป็นไปตามดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังไม่น่ากังวล

.

.

ขณะที่ส่วนที่เหลือไม่ถึง 15% ของหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ หรือ คิดเป็นกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ของบริษัทบัตรเครดิต ทำให้ภาพรวมของหนี้ครัวเรือนไทย ไม่น่าเป็นห่วงมากนักตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์

.

.

และเมื่อนำจำนวนหนี้ครัวเรือน มาหารกับระดับการเติบโตเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทย ณ ไตรมาส 1 ปี 2565 จะคิดออกมาเป็น 89.2% ต่อจีดีพี เป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมูลค่าจีดีพี ณ ราคาประจำปี (มูลค่าจีดีพีไม่หักต้นทุนนำเข้าจากต่างประเทศ) ซึ่ง ณ ไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 5.7% (เส้นสีแดง) ขณะที่มูลค่าหนี้ครัวเรือน มีอัตราการเติบโต 3.6% (เส้นสีเขียว) ปรับตัวลดลง ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย โดยมีจุดตัดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา

.

.

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เชื่อว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีผ่านพ้นจุดสูงสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2564 ที่อยู่ระดับ 90.9% ต่อจีดีพีไปแล้ว และคาดว่า ณ สิ้นปี 2565 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทย จะอยู่ระดับที่ทรงตัวจากปัจจุบัน (89.2%ต่อจีดีพี) อยู่ที่ระดับ 89.3% ต่อจีดีพี

.

.

เนื่องจากระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น จากการเปิดประเทศ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าทั้งปี 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยจะอยู่ที่ 10 ล้านคน ซึ่งจะเข้ามากระตุ้นการบริโภคในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น

.

.

ส่วนจะกลับไปมีระดับหนี้ไม่เกิน 80% ต่อจีดีพี เหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ได้ภายใน 5 ปี หอการค้า ประเมินว่า ระดับการเติบโต GDP ต้องอยู่ที่ 6.2% ส่วนหนี้ครัวเรือนต้องโตไม่เกิน 4% ต่อปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว

.

.

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับทั่วโลก น่าเป็นห่วงแค่ไหน TradingEconomics มีการเก็บข้อมูลหนี้ครัวเรือนของแต่ละประเทศ โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2564 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยอยู่ที่ 90% ต่อจีดีพี สูงที่สุดเป็นลำดับที่ 11 ของโลก ซึ่งสูงกว่าประเทศที่ตามหลังมา ทั้งสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย โปรตุเกส ญีปุ่น ฟินแลนด์ ลักเซมเบิร์ก และ เบลเยี่ยมตามลำดับ

.

.

ส่วนกลุ่มผู้นำ 10 อันดับแรก มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงกว่าประเทศไทย คือ สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง มีระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 130%ต่อจีดีพี , ตามมาด้วยอันดับ 2 ออสเตรเลีย สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 119% ต่อจีดีพี, อันดับ 3 เกาหลีใต้ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 107% ต่อจีดีพี , อันดับ 4 แคนาดา สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 106 % ต่อจีดีพี , อันดับ 5 เดนมาร์ก 105% ต่อจีดีพี , อันดับ 6 เนเธอร์แลนด์ อยู่ที่ 101% ต่อจีดีพี ตามมาด้วยอันดับ 7 นอร์เวย์ 99.4% ต่อจีดีพี , อันดับ 8 นิวซีแลนด์ 98.5% ต่อจีดีพี , อันดับ 9 ฮ่องกง 93.1% ต่อจีดีพี และอันดับ 10 สวีเดน 92.6% ต่อจีดีพี

.

.

สิ่งที่ ศูนย์พยากรณ์ฯ ม.หอการค้าไทย เป็นห่วงคือ ระดับหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีเกินกว่า 90% จะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือไม่ จึงนำมาสู่การ รวบรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจย้อนหลังไป 10 ปี นับตั้งแต่ ปี 2010-2019 เพื่อตัดปัจจัยผลกระทบโควิด-19 ออกไป ค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจกลุ่มนี้ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ที่ 2-3%

.

.

โดยอันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ เฉลี่ยจีดีพี 10 ปี อยู่ที่ระดับ 2.0% ตามมาด้วย ออสเตรเลีย 2.6% , เกาหลีใต้ 3.3 % , แคนาดา 2.3% , เดนมาร์ก 1.8% , เนเธอร์แลนด์ 1.5% , นอร์เวย์ 1.5% , นิวซีแลนด์ 3.2% , ฮ่องกง 2.9% และ สวีเดน 2.6%

.

.

มีเพียงเกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์เท่านนั้นที่ทำค่าเฉลี่ยการเติบโตเศรษฐกิจในรอบ 10 ปีได้เกิน 3% ขณะที่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ค่าเฉลี่ยจีดีพี 10 ปี เพียงแค่ 1.5%

.

.

ขณะที่ประเทศไทย รายการเศรษฐกิจ Insight คำนวณค่าเฉลี่ยจีดีพี 10 ปี ตั้งแต่ 2010-2019 ออกมาอยู่ที่ 3.4% นี่เป็นผลกระทบจากการบริโภคที่หดตัวลง ภายใต้ข้อจำกัด คือ ระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

.

.

และหากเจาะไปดู สินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภค จากระบบธนาคารพาณิชย์ จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ครอบคลุมหนี้ทั้งก้อนกว่า 14 ล้านล้านบาท แต่เป็นหนี้ก้อนใหญ่ 5.2 ล้านล้านบาท ที่มีการเก็บข้อมูลที่เป็นระบบจากธนาคารพาณิชย์ ก็จะทำให้เห็นภาพรวมของสินเชื่อครัวเรือน ว่าคนไทยก่อหนี้ไปทำอะไรบ้าง

.

.

ภาพรวมในปัจจุบันสำหรับสินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภค ดูก้อนที่มากที่สุด 48.9% คือ การจัดหาที่อยู่อาศัย ขณะที่การซื้อ หรือ เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สัดส่วน 22.4% ซึ่ง 2 กลุ่มนี้ รวมกันกว่า 70% เป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ เพราะมีสินทรัพย์ค้ำประกัน

.

.

ส่วนสินเชื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ มีสัดส่วน 27.7% , การซื้อที่ดิน 1.0% , การซื้ออสังหาฯ เพื่อการอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ก็ตีความได้ว่า เป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไร สัดส่วนอยู่ที่ 0.1% และสินเชื่อเพื่อการศึกษา อยู่ที่ 0.0% เป็นระดับที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อบุคคลทั้งระบบธนาคารพาณิชย์

.

.

แล้วทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสินเชื่อบุคคลแต่ละประเภทไปในทิศทางใดในช่วงที่ผ่านมา เริ่มที่การจัดหาที่อยู่อาศัย เติบโตมากขึ้นเรื่อย ปี 2563 เติบโต 3.1% , ปี 2564 เติบโต 9.2% พอมาไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโต 11.0% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้เห็นภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำ

.

.

เช่นเดียวกับการซื้อที่ดิน ปี 2563 ติดลบ 0.5% , ปี 2564 เติบโต 2.6% , ปี 2565 ไตรมาส 1 ขยายตัวต่อเนื่อง 2.9% ส่วนการซื้ออสังหาฯ เก็งกำไร ปี 2563 ติดลบ 0.9% , ปี 2564 ติดลบ 23.4% และไตรมาส 1 ปี 2565 ติดลบ 31.3 อัตราการลดลงรูปแบบนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ เพราะไม่มีการสร้างความต้องการเทียม ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ

.

.

สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ ก็เติบโตมากขึ้นเช่นกัน ปี 2563 เติบโต 1.7% , ปี 2564 เติบโต 1.9% และไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโต 2.3%

.

.

สินเชื่อเพื่อการศึกษา เป็นอีก 1 ตัว ที่น่าเป็นห่วง เพราะปี 2563 ติดลบ 7.0% ปี 2564 ติดลบ 17.2% และไตรมาส 1 ปี 2565 ติดลบ 35.1% เข้าใจว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่อการครองชีพ และ หนึ่งในนั้นก็คือการศึกษา แต่ก็ต้องพลาดโอากาสในการพัฒนาตนเองออกไป

.

.

สินเชื่อ เพื่อการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2563 เติบโต 8.2% , ปี 2564 เติบโต 9.0% และไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโต 8.5%

.

.

ส่วนสินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภคอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นการรูดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล กลุ่มนี้ปี 2563 ติดลบ 0.4%และปี 2564 ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ บวก 6.5% และไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโต 9.9%

.

.

นอกจากนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ม.หอการค้าไทย มีการสำรวจสภาพหนี้ครัวเรือนไทย ประจำปี 2565 พบว่า ระดับหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อครอบครัวอยู่ที่กว่า 5 แสนบาท เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาคือ ปี 2563 ที่ระดับ 3.7 เป็นระดับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะปี 2563 มีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น 42.3% คิดเป็นหนี้ 4.8 แสนบาท ต่อครอบครัว ขณะที่ย้อนหลังไปปี 2562 หรือ ก่อนโควิด-19 ยังมีระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 3.4 แสนบาทต่อครอบครัวอยู่เลย

.

.

และมาดูความสามารถในการผ่อนชำระ ปี 2563 ผ่อนได้ 5,222 บาทต่อเดือน และปี 2564 ผ่อนชำระเหลือแค่ 2,568 บาทต่อเดือน ลดลง 50.8% เนื่องจากมีมาตรการในการพักหนี้ และช่วยเหลือลูกหนี้มากมาย ส่วนปี 2565 เพิ่มมาอยู่ที่ 4,649 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นมา 81% แต่ก็ยังไม่เท่าก่อนโควิด

.

.

นี่คือภาพรวมของหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน และเป็นที่มาของข้อเสนอในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ข้อแรก ที่มีการเสนอมากที่สุด คือ หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 25.7% ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น รวมไปถึงปรับโครงสร้างหนี้ ให้มีต้นทุนเงินกู้ต่ำกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันภาครัฐพยายามดำเนินการอยู่ให้มีการปรับโครงสร้างหนี้

.

.

ให้ความรู้ในการบริหารหนี้ 19.8% ,ฝึกอบรมวิชาชีพ และเพิ่มทักษะอาชีพ 13.3%, ให้ความรู้เรื่องการวางแผนใช้จ่าย 13.1%, ให้ความรู้เรื่องการใช้จ่ายอย่างพอเพียง 12.2% และ เพิ่มสวัสดิการณ์ผู้มีรายได้ 9.7%

.

.

น่าสนใจมากน่าข้อเรียกร้องในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน 3 ใน 6 ข้อแรก เป็นความต้องการความรู้ด้านการเงิน ทั้งการบริหารหนี้ การวางแผนใช้จ่าย และความรู้ในการใช้จ่ายอย่างพอเพียง ซึ่งเป็นความต้องการของภาคประชาชน ในช่วงที่ผ่านวิกฤตโควิด-19 มาหมาดๆ

 

ที่มา: https://youtu.be/Y-lqYYafP-0

.

 

 

 


DAVINCI