การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนปลายปีนี้แล้ว เป็นการเลือกผู้นำระดับโลกอีกครึ่งหนึ่ง นโยบายของทั้ง 2 ฝ่าย แตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายค่อนข้างจะสุดโต่ง แน่อนว่าย่อมส่งผลสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของโลก และของไทยด้วย
มุมมองความเห็นของนักวิชาการว่าอย่างไร?
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือน พ.ย.จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของการค้าระหว่างสหรัฐฯกับภูมิภาคเอเชีย โดยหากนายโดนัล ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียอย่างมาก ปัจจัยทางด้าน นโยบายป้องเศรษฐกิจสหรัฐ-ไม่เปิดการค้าเอเชีย
เนื่องจากนายโดนัล ทรัมป์ มีนโยบายในการปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และพยายามจะไม่เปิดการค้ากับภูมิภาคเอเชีย ในอีกด้านหนึ่งหากนางฮิลารี่ ฮิลตันได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จะยังคงนโยบายที่มีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคเอเชียต่อ แต่จะมีความเข้มงวดมากขึ้นกว่านายโอบามา !!
ด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ TDRI ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวที่ 3%
จากการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวยังคงปัจจัยหนุน แม้ว่าภาคการส่งออกจะยังคงหดตัวในระดับที่ติดลบ 2% แต่หากการส่งออกติดลบมากกว่าระดับดังกล่าว จะส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีโอกาสต่ำกว่า 3% ได้
นอกจากนี้ปัจจัยที่ยังน่ากังวลเป็นเรื่องของการลงทุนภาคเอกชนขณะที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยปัจจุบันเอกชนใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวที่ช่วยเอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน
อีกทั้งความต้องการสินค้าในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังไม่ฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับขีดความสามารถของไทยยังต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้การส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศของไทยมีผลกระทบค่อนข้างมาก
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เนื่องจากกนง.จะต้องรอดูความชัดเจนถึงแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าในช่วงต้นปี 60 อีกทั้งยังต้องดูภาวะเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวหรือไม่ และมองระดับเงินเฟ้อประกอบ
กนง. ปรับคาดการณ์ GDP ปี 59 เติบโตเป็น 3.2% เท่ากับปี 60 แม้ภาคการส่งออกจะติดลบ -0.5%
ขอบคุณแหล่งข่าว : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์