หลังจากที่ พ.ร.ก.กองทุนพยุงหุ้นกู้เอกชน มูลค่า 4 แสนล้านบาท มีผลบังคับ ก็มีการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่าย รวมถึงการออกมาแสดงความคิดเห็นจากนักการเงิน และกลุ่มนักการเมืองขั้วตรงข้ามรัฐบาล ที่ออกมาระบุว่า การแทรกแซงตลาดทุนในครั้งนี้เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับเอกชนบางเจ้าหรือไม่?
เราลองมาฟังคำตอบจากปาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าเหตุใดที่ทางแบงค์ชาติจึงต้องออกโรงยื่นมือเข้ามาช่วยกู้วิกฤติตลาดเงินในครั้งนี้
“แบงก์ชาติขอเรียนว่า การออกมาตรการในครั้งนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินเพราะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีขนาดถึง 3.6 ล้านล้านบาท หรือ กว่าร้อยละ 20 ของ GDP เป็นแหล่งระดมเงินทุนและแหล่งลงทุนที่สำคัญ ถ้าตลาดการเงินส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหา ก็อาจจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่ระบบการเงินโดยรวมและภาคเศรษฐกิจจริง
ซึ่งการตั้งกองทุน BFS เป็นการทำลักษณะคล้ายๆกับ QE ในอเมริกา คือเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท โดยการซื้อหุ้นกู้ที่บริษัทนั้นออกมา เพื่อให้บริษัทมีกระแสเงินสดให้หมุนเวียน เพราะกระแสเงินสดเปรียบเหมือนเลือด ถ้าขาดเลือดเราตายครับ
ยกตัวอย่างๆง่าย ถ้าบริษัทเป็นคนอย่างเราๆ คือ ถ้าเรามีสินทรัพย์ราคาสูงมากเช่นที่ดิน แต่ที่ดินนั้น ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อให้เช่าก็ไม่มีใครเช่า กับสถานะการณ์ในปัจจุบัน จึงไม่มีรายได้เข้ามา กระแสเงินสดจึงไม่มี เงินในกระเป๋าจึงแฟบไปครับ แต่ค่าใช้จ่ายยังอยู่เหมือนเดิม แล้วเราจะกินอยู่ อย่างไรเมื่อเงินในกระเป๋าไม่มี กองทุนนี้จึงตั้งขึ้นเพื่อรับซื้อสินทรัพย์เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีกระแสเงินสดในมือเพื่อนำไปดำเนินกิจวัตรประจำวัน เช่น จ่ายค่าบ้าน ค่ารถ รวมถึงค่าใช้จ่ายในบ้าน ต่อไปได้ครับ
ในรูปแบบที่เราจะทำ เราก็ได้ศึกษาโมเดลมาจากหลายประเทศที่ทำ เราไม่ใช่ธนาคารกลางแรกที่ลุกขึ้นมาช่วยดูแลสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ในสหรัฐฯ แคนาดา สวีเดน อังกฤษ ธนาคารกลางสหภาพยุโรป หรือธนาคารเกาหลีก็ทำกัน หลายธนาคารกลางมีโครงการแบบนี้ต่อเนื่องมา และเมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ความไม่แน่นอนสูงขึ้น จึงได้ขยายให้กว้างขึ้นไปอีก
ของเราอาจจะทำตั้งต้นคล้ายๆ กับสิ่งที่เกาหลีได้ทำ นั่นคือการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาหนึ่งกองทุนช่วยทำหน้าที่เสริมสภาพคล่องให้กับตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน นั่นก็เป็นกองทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้เงินที่ได้จากการจัดการบริหารสภาพคล่องของเรา ใส่เข้าไปในกองทุนไม่เกิน 400,000 ล้านบาท
โดย 400,000 ล้านบาท มาจากการที่เราดูว่ามีตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเป็นระดับที่ลงทุนได้หรือ Investment Grade จะครบกำหนดราว 960,000 ล้านบาทในช่วงปีนี้จนถึงสิ้นปีหน้า กองทุนนี้จะทำหน้าที่ไปเติมเต็มในกรณีที่เขาไม่สามารถ Roll Over ได้ในช่องทางปกติ เราจะไปเติมเต็ม
‘เขาจะต้องไประดมทุน ไม่ว่าจากธนาคารพาณิชย์หรือจากตลาตราสารหนี้ปกติไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง’ ถึงจะสามารถขอส่วนที่เติมเต็มตรงนี้ได้ เขาจะต้องไปหาเงินของเขามาก่อนให้ไม่น้อยกว่าสัดส่วนครึ่งหนึ่งของส่วนที่จะครบกำหนด ถึงจะมีสิทธิ์มาขอได้ ถึงเป็นที่มาที่ทำให้เรามองว่า ถ้าจะครบกำหนดราว 960,000 ล้านบาท เราไม่รู้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ถ้าเราจะช่วยสักครึ่งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของ 400,000 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นผมถึงเรียนว่า อันดับแรกเขาจะต้องไปหาเงินตามช่องทางปกติ ด้วยกลไกปกติ ซึ่งเราจะยึดหลักว่า คุณต้องไปออกตราสารใหม่ขายในตลาดด้วย สองคือ ต้องไประดมทุนจากธนาคารพาณิชย์ เพราะลูกค้าพวกนี้ก็จะมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์อยู่ ซึ่งจะต้องทำทั้งสองช่องทางและได้เงินมาในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของเงินที่จะครบกำหนด ถึงจะมีสิทธิ์มาขอ ‘ส่วนที่จะเติมเต็ม’
โดยบริษัทที่จะมาขอสภาพคล่องในส่วนนี้ได้ ต้องเป็นบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade ขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปช่วยบริษัทในกลุ่ม Below Investment Grade พวกนั้นคนถือตราสารก็จะเป็นกลุ่ม High Network เป็นคนที่ถือในนามบุคคล เป็นคนที่รวย พวกนั้นไม่ได้มีปัญหาในเรื่องความเชื่อมโยงเสถียรภาพระบบการเงิน เขาไปลงทุน ก็ต้องรับความเสี่ยงของเขาเอง สิ่งที่เราเป็นห่วงคือกลุ่มที่เป็นบริษัทที่ดีในภาวะปกติ เขาก็ทำธุรกิจได้ Roll Over ตราสารได้ แต่ในภาวะที่ตลาดมันบาง เกิดความผิดปกติ มันถึงจำเป็นจะต้องมีกลไกเสริมเพื่อเป็นหลังพิง เป็นโรงพยาบาลสนามที่เข้าไปช่วย
คำต่อคำจากปากของผู้ว่าแบงค์ชาติในวิกฤติคราวนี้ สะท้อนให้เห็นว่าในภาวะที่ผิดปกติ การใช้เครื่องมือแก้ปัญหาก็ต้องใช้ขั้นตอนพิเศษ ซึ่งในภาวะที่ค่อนข้างรุนแรงและเร่งด่วนแบบนี้ การดำเนินการครั้งนี้น่าจะเป็นไปด้วยดีแม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยทำเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เพื่อที่ประเทศไทยและพวกเราคนไทยทุกคนจะรอดไปด้วยกัน.
เรียบเรียงจาก : thestandard และ รายการตอบโจทย์ ThaiPBS 17