LGT สู้ศึกไพรเวตแบงก์ จากราชวงศ์ยุโรป สู่พอร์ตเศรษฐีไทย
สัมภาษณ์
บริการบริหารความมั่งคั่งอย่างธนาคารส่วนตัว หรือ private banking เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น หลังบรรดาธนาคารพาณิชย์ในไทยสนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้กันอย่างแพร่หลาย โดยบางแบงก์ก็ลุยธุรกิจนี้เอง บางแบงก์ก็ใช้วิธีการร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ประกอบธุรกิจนี้ที่ไม่ใช่แบงก์ แต่กล้าเข้ามาแข่งในสมรภูมิเดียวกับธนาคารพาณิชย์แถวหน้าของเมืองไทย นั่นก็คือ “LGT Group” กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการด้าน private banking และการบริหารสินทรัพย์ของราชวงศ์ลิกเตนสไตน์จากยุโรป ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “เอกภพ เมฆกัลจาย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) มานำเสนอ
โดย “เอกภพ” เล่าว่า LGT เป็นหนึ่งในธุรกิจ private banking ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีอายุยาวนานกว่า 100 ปี โดยเจ้าของถือหุ้นเองและไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทมีธุรกิจหลักและธุรกิจเดียว คือ การบริหารความมั่งคั่งให้แก่นักลงทุน ซึ่งก่อนหน้าจะเข้ามารุกเมืองไทย LGT มีธุรกิจอยู่ในประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง โดยการเข้ามาขยายธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2562 เป็นการขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคให้กว้างมากขึ้น
“เราถือว่าเราเป็น very unique private bank เพราะธุรกิจ private bank ทั่วโลกล้วนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เหลือน้อยมากที่จะเป็น traditional boutique private bank ที่เจ้าของยังถือหุ้นเอง โดยราชวงศ์ลิกเตนสไตน์ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็ยังนำเงินมาให้ LGT ช่วยบริหารจัดการด้วยในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ลูกค้าสามารถสบายใจได้ว่า เจ้าของมีการร่วมลงทุนและมีส่วนได้ส่วนเสียจากการบริหารจัดการ”
ทั้งนี้ การบริหารความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าคนไทยนั้นยังมีโอกาสอีกมาก โดยหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับกฎระเบียบ เอื้อให้ไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายและสะดวกขึ้น ขณะเดียวกันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทยให้ผลตอบแทนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดังนั้นจึงสามารถจัดพอร์ตให้ลูกค้าออกไปลงทุนต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะถือเป็นตัวเลือกในการกระจายความเสี่ยงที่ดีให้แก่ลูกค้า
“นักลงทุนหลาย ๆ คนอาจกังวลว่าการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนต่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากค่าเงิน แต่ต้องยอมรับว่าผลกำไรสุทธิ (net benefit) จากการลงทุนต่างประเทศมันดีกว่ามาก ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2563 เราสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าได้ประมาณ 8.03% จากพอร์ตการลงทุนในหุ้น 70% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% และสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 37% จากการลงทุนในบริษัทเมกะเทรนด์”
ล่าสุด LGT เปิดตัว บริการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (private fund) ให้แก่ลูกค้าในไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนหลายรายต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้มีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยดูแลและการจัดการกองทุน ซึ่ง LGT สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้
“เราเปิดตัว private fund ไปแล้วราว 2 เดือน และได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยมีให้เลือก 17 รูปแบบการลงทุน ตั้งแต่ความเสี่ยงน้อยไปยังความเสี่ยงสูง หรือลูกค้าที่มีขนาดกองทุนที่ค่อนข้างใหญ่ ก็สามารถปรับเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับจำนวนเงินของลูกค้าได้”
นอกจากนี้ อีกบริการที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีคือ การลงทุนในหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ (private equity) ที่แยกจากบริหารกองทุนส่วนบุคคลของบริษัท โดย LGT เห็นถึงความต้องการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวของลูกค้าที่มีค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งในปี 2562 บริษัทได้จับมือกับบริษัทหลักทรัพย์ China Renaissance ประเทศจีน ในการออก private equity ที่เสนอขายให้แกลูกค้าของ LGT ทั่วโลก ทั้งนี้ แม้ผลตอบแทนกองทุนจะยังไม่มีรายงานออกมา แต่การลงทุนถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ สะท้อนจากการที่สามารถผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีในกองทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้
ยังมี private equity ที่ลงทุนในบ้านพักคนชราในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งนักลงทุนไทยตอบรับค่อนข้างดี เนื่องจากสังคมผู้สูงวัยถือเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนไทย แม้ในไทยธุรกิจบ้านพักคนชราอาจยังไม่มั่นคงมากนัก แต่ในต่างประเทศธุรกิจดังกล่าวถือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว
“นอกเหนือจากจุดเด่นของการลงทุนในต่างประเทศ และเอกลักษณ์เฉพาะของ LGT Group แล้ว บริษัทตั้งใจนำเสนอข้อมูลบทวิเคราะห์ที่มีประโยชน์เพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์และควาแข็งแกร่งของบริษัท แทนการทำมาร์เก็ตติ้งรูปแบบเดิม ๆ โดยหวังว่าการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์จะช่วยให้ลูกค้าที่มีความสนใจบริหาร private banking ได้รู้จักกับบริษัทมากขึ้นอีกด้วย” นายเอกภพกล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก