STA TEGH คาดมุมมองอุตสาหกรรมปี 2024 ดีขึ้น
เฝ้าระวังต่ออุปสงค์ในปี 2566 แต่คาดมีแนวโน้มสดในมากขึ้นในปี 2567 อุปสงค์ยางธรรมชาติทั่วโลกชะลอตัวลงตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2565 หลังจีนประกาศมาตรการล็อกดาวน์และอ่อนตัวลงต่อเนื่องในครึ่งหลังปีนี้จากอุปสงค์ที่อ่อนแอจากยุโรปและสหรัฐฯ และการลดสินค้าคงคลัง
เราเชื่อว่าอุปสงค์ยางธรรมชาติจะเติบโตมากขึ้นในปี 2567 หนุนจากการกลับมาสต็อกสินค้ายางธรรมชาติจากผู้ผลิตส่วนใหญ่และอุปสงค์ที่มากขึ้นจากจีน (40% ของอุปสงค์ทั่วโลก) จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
อุปทานขาดแคลนจากภัยแล้งและเอลนีโญ เราเชื่อว่าอุปทานยางธรรมชาติจากประเทศไทยและอินโดนีเซียซึ่งเป็น 2 ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก (54% ของอุปทานทั่วโลก) จะลดลงในปี 2566-67 ปรากฎการณ์เอลนีโญส่งผลให้ฤดูปิดกรีดในประเทศไทยยาวขึ้นในปี 2566 และจะส่งผลกระทบต่อปริมาณยางในปี 2567 ขณะที่อุปทานจากอินโดนีเซียลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 และยังไม่เคยกลับสู่ระดับสูงที่สุดจนถึงขณะนี้
คาดแนวโน้มกำไรมีปัจจัยลบในระยะสั้น แต่มุมมองจะกลับมาดีขึ้น เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มขึ้น 63%/55%/20% เป็น 663 ลบ./3.0 พันลบ./5.1 พันลบ. เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคา TSR20 ใหม่ของเราที่ 1.35 ดอลลาร์สหรัฐฯ/1.50 ดอลลาร์ฯ/1.60 ดอลลาร์ฯ/กก.
ในปี 2566/676/68 เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 จะทรงตัว QoQ จากยอดขายที่มากขึ้นตามฤดูกาลแต่คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะยังอ่อนแอจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ลดลง เราคาดว่ากำไรสุทธิจะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2566 เป็นต้นไป
เพิ่มคำแนะนำ STA และ TEGH เป็น “ซื้อ” เราปรับเพิ่มคำแนะนำ STA และ TEGH เป็น “ซื้อ” และเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 18.00 บาท และ 3.60 บาท ตามลำดับ
