PTG เข็น “กาแฟพันธุ์ไทย” เข้าตลาดหุ้น
กางแผนปีนี้รุกธุรกิจ Non-Oil เต็มสูบ!
หวังดันสัดส่วนกำไรขั้นต้นเป็น 20-30%

.
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันขายปลีก (Retail Oil Market Share) กว่า 25% มีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิก จะครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ
.
ขณะเดียวกันจะมีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG สร้างประสบการณ์ O2O ที่ไร้รอยต่อ รวมถึงการใช้ Data เพื่อให้เกิด End-to-End Personalization ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
.
โดยยังพร้อมยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT ใน 3 มิติ ได้แก่ 1. Expansion and Renovation โดยเดินหน้าขยายสาขาทั้งหมดปีนี้สู่ 2,206 สาขา 2. Service Innovation โดยการยกระดับการให้บริการ ซึ่งได้จัดตั้ง PT Service Master ขึ้นมาเพื่อให้คำแนะนำลูกค้า อีกทั้งยังมี Max Camp ให้ลูกค้าได้เข้าพักผ่อนในระหว่างการเดินทาง โดยให้บริการฟรีสำหรับสมาชิก Max Card
และ 3. Data Optimization โดยการรวบรวมความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ผ่านทางฐานสมาชิก Max Card, Max Card Plus, Max Me และ Max Enterprise Connect เพื่อนำเสนอ Data-Driven Offerings and Promotions ให้ตรงใจ และตรงความต้องการลูกค้ามากที่สุด
.
สำหรับ PT Max Camp ปัจจุบันตั้งอยู่ใน 64 สถานี และจะขยายเป็น 141 สถานี ภายในปี 2570 ส่วนฐานสมาชิก Max Card ปัจจุบันทั้งสิ้น 19 ล้านสมาชิก โดยจะขยายเป็น 30 ล้านสมาชิกในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งความสำคัญของ Max Card และ Max Card Plus คือเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพิ่มยอดขาย และเพิ่มความถี่ของการเข้ามาใช้บริการธุรกิจในเครือเพิ่มมากขึ้น
.
นอกจากนี้มีเครื่องมือ Max Me ที่เป็น Application และ e-Wallet ที่จะช่วยต่อยอดฐานสมาชิกในโลกออนไลน์ โดยภายในปีนี้คาดว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินผ่าน Max Me กับ Partner กว่า 1 ล้าน Touchpoints และยังมีบริการสินค้าดิจิทัล Financing และ Lifestyle ที่จะมาเชื่อมต่อกับ Max Me อีกด้วย
.
อีกทั้งยังมีการใช้ Digital Platform เพื่อตอบโจทย์ B2B ได้แก่ Max Enterprise Connect ซึ่งเป็น Fuel Management Platform ที่ช่วยในการบริหารต้นทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และลดความยุ่งยากที่เกี่ยวกับเอกสาร เหมาะสำหรับผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจทุกขนาด โดยที่สามารถดู Real Time Data ได้ตลอด 24 ชม. และสามารถเชื่อมต่อ Microservices เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับองค์กรได้ในอนาคต
.
ขณะที่บริษัทร่วมลงนามสัญญาก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา ขนาด 4.5 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ลงนามสัญญาก่อสร้างและบริหารกับทางเทศบาลเมืองบ้านพรุไปในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 3/2566 และคาดว่าจะเปิดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้
ภายในปี 2568 โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยลดปริมาณขยะสะสม ลดผลกระทบจากกลิ่นและน้ำเสีย อีกทั้งยังเป็นการนำของเสียมาก่อให้เกิดประโยชน์ และช่วยส่งเสริมสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของคนในชุมชนในละแวกดังกล่าวให้ดีขึ้น ตามวิสัยทัศน์การดำเนินงานของบริษัทฯ ที่หวังให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมีชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต
.
อัดฉีดงบลุย Non-Oil
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2566 วางเป้า EBITDA โต 8-12% จากปีก่อน และวางเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 8-12% จากปีก่อน จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
.
ขณะที่ ธุรกิจ Non-Oil วางเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นคิดเป็น 20-30% ของกำไรขั้นต้นรวม ขณะที่ธุรกิจก๊าซ LPG ยังคงมองการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซไว้ที่ระดับ 40-60% ซึ่งมองว่าธุรกิจ LPG ยังเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้ามุ่งเน้น LPG ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น
.
สำหรับปี 2566 บริษัทวางงบลงทุนรวม 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปยังธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจใหม่ แบ่งเป็น ธุรกิจ Non-Oil ราว 2,000-2,500 บาท ธุรกิจใหม่ ราว 1,500-2,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจน้ำมันราว 1,000-1,500 ล้านบาท โดยประเมินว่าภายในปี 2566 จะเห็นความชัดเจนในธุรกิจใหม่แน่นอน
.
เข็นบริษัทเข้า IPO
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนนำธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2568 โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนราว 1 พันล้านบาท ส่วนความคืบหน้าการนำบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPPGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในช่วง ไตรมาส 2/66
นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นไฟลิ่งธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ภายใต้บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เบื้องต้นคาดเห็นความชัดเจนไตรมาส 2/66
.
ด้านโครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัท และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต
.
โดยปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง Phase 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW ซึ่งปัจจุบัน Phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี และคาดจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)
.
ส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy ของบริษัทฯ และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัทฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 และเปิด COD ได้ในปี 2568
.
ทั้งนี้ผลประโยชน์ที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับ คือสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน คาดว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข" ในทุกด้านของช่วงชีวิต