ชี้ปี2024 “ดอกเบี้ยลง”...ปัจจัยบวกทั้ง “หุ้น” & “ตราสารหนี้” !!!

.
Where2put Ur Money: ปี 2023 กำลังจะผ่านไป เป็นอีกหนึ่งปีที่ตอนเริ่มต้นปีนักลงทุนต่างมีความกังวลค่อนข้างมากกับภาวะเศรษฐกิจว่าจะมีโอกาสเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” หรือที่เรียกว่า “Recession” เนื่องจาก Yield ของอัตราพันธบัตรระยะยาวลดลงจนต่ำกว่า Yield ของพันธบัตรที่มีอายุสั้นกว่า หรือที่เรียกว่า “Inverted yield curve” ส่งสัญญาณเตือนก่อนเกิดวิกฤต รวมถึง “เงินเฟ้อ” ที่ยังอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่องจากปลายปี 2022 กดดันทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง
.
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะเห็นได้กลายเป็นอีกหนึ่งปีที่ผลตอบแทนการลงทุนใน ‘สินทรัพย์เสี่ยงโลก’ ปรับตัวขึ้นได้ดี พลิกภาพจากที่ติดลบหนักในช่วงปี 2022 จากเศรษฐกิจโลกนำโดยเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภค และการจ้างงาน รวมถึง เงินเฟ้อค่อยๆ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกระแส AI boom จากความนิยมของ Generative AI ก็เป็นหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนหุ้นที่เกี่ยวข้องให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
.
ปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง จะเป็นปีที่เป็นจุดเปลี่ยนของการดำเนินนโยบายทางการเงินหลังดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักได้ทำ “จุดสูงสุด” ของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของรอบนี้แล้วไปในปี 2023 เราจะเริ่มเห็นการ “ปรับลดอัตราดอกเบี้ย” ลงในปีนี้ ทั้งนี้ความเร็วและแรงในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยขึ้นกับตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
.
ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามและมีผลต่อเศรษฐกิจตลาดเงินตลาดทุนโลก เรื่องแรกคือ คือ 1) อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ หลังจาก FED คงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม 2023 ไว้ที่ 5.25-5.50% และส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกและจะไม่คงดอกเบี้ยที่ระดับสูงไว้นานเกินไป จาก Dot Plot แสดงให้เห็นว่า FED น่าจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปี 2024 และ 4 ครั้งในปี 2025 สู่ระดับค่ากลางที่ 4.6% และ 3.6% ตามลำดับ เป็นการสะท้อนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงสู่ระดับ 3.2% ในปี 2023 2.4% ในปี 2024 และ
.
2.2% ในปี 2025 ซึ่งหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วและแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ก็น่าจะเป็นอัพไซด์ต่อการลงทุนใน “สินทรัพย์เสี่ยง” ได้
.
2) ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร หรือ Bond yield ในช่วงที่ผ่านมา การปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield จะส่งผลกระทบทางลบกับราคาพันธบัตร รวมถึงส่งผลกระทบทางลบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และ Equity valuation ด้วย ดังนั้นในทางกลับกัน หาก Bond yield อ่อนตัวลงตามทิศทางของแนวโน้มดอกเบี้ยและเศรษฐกิจ อาจจะมีโอกาสที่เห็นราคาที่ปรับตัวดีขึ้นของตราสารหนี้ และในส่วนของตลาดทุน PE multiple ก็มีโอกาสที่ตลาดจะได้รับการ Rerating ขึ้นได้
.
3) แนวโน้มเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2024 แต่ไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้น Recession น่าจะเป็นในลักษณะของ Soft landing โดย IMFคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2023 จะเติบโตได้ที่ 3.0% และจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในปี 2024 โดยจะเติบโตที่ 2.9%
.
“ดังนั้นอยากแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ สภาวะเศรษฐกิจการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะความผันผวนอยู่คู่กับตลาดเสมอ การที่เราเตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมเพื่อรองรับกับสถานการณ์ จะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2024 ได้”
“บลจ.ดาโอ” แนะนำพอร์ตลงทุนโดยเน้นการลงทุนประเภท Income อย่าง “ตราสารหนี้” เพื่อรับประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักได้ทำจุดสูงสุดของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของรอบนี้แล้วและมีโอกาสปรับลดลงในปี 2024-2025 ดังนั้นการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ปัจจุบันจะได้รับประโยชน์จาก Carry yield ที่อยู่ในระดับสูง และหากดอกเบี้ยมีการปรับลดในอนาคต ก็จะเป็น Upside ต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ อย่างไรก็ดี อาจจะต้องเลือกลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวอาจส่งผลกระทบ
.
“หากนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ก็อยากให้กระจายการลงทุนไปใน ‘ตราสารทุนโลก’ ธีมหลักในการลงทุน คือ 1) หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับลดลง 2) หุ้นที่มีความต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง 3) การลงทุนหุ้น Mega trend แบบที่อิงกับการเปลี่ยนแปลงระยะยาว Secular growth theme ซึ่งทาง บลจ.ดาโอ มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศที่ยังมีการเติบโตได้ดีกว่าตลาดโดยภาพรวม เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น และหุ้นกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยี ยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุนในปี 2024”