ห้องเม่าปีกเหล็ก

จัดอันดับ 5 หุ้นราคา “พุ่งแรงสุด” “ติดลบมากสุด” ตั้งแต่ต้นปี !

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
295 views

จัดอันดับ 5 หุ้นราคา “พุ่งแรงสุด”

“ติดลบมากสุด” ตั้งแต่ต้นปี !

 

.

ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นผันผวนและโดนเทขายจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง จากปัจจัยกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาต่ำคาด ทำให้มีทั้งหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นโดดเด่น และราคาหุ้นปรับลงแรง ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้ทำการสำรวจว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. – ก.พ. 66) มีหุ้นไหนบ้างที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด และราคาหุ้นปรับตัวลงมากที่สุด 5 อันดับ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มาฝากนักลงทุน

.

สำหรับหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมากที่สุด คือ TRC หรือ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 66 ราคาหุ้นของ TRC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 151.72% ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ TRC ดีดตัวขึ้นสวนทางกับผลประกอบการปี 2565 ที่ออกมาขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 111.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 57.39 ล้านบาท เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้รัฐบาลเพิ่มทุนในโครงการเหมืองแร่โปแตชของอาเซียน จ.ชัยภูมิ ตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็นจำนวนเงิน 90 ล้านบาท เพื่อจ้างที่ปรึกษาประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ

.

รองมาเป็น SKY หรือ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 66 ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว 138.19% อันดับสามคือ SFP หรือ บริษัท อาหารสยาม จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาแล้ว 90%

.

อันดับสี่ MPIC หรือ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาแล้ว 86.39% และอันดับห้า WAVE หรือ บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาแล้ว 53.85%

[5 หุ้นดิ่งแรงสุด]

ส่วนหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด คือ JMT หรือ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 66 ราคาหุ้นของ JMT ปรับลงมาแล้ว 32.61% สวนทางกับผลประกอบการปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 1,745.6 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อน ทั้งนี้ แม้กำไรปี 2565 ของ JMT จะเติบโต แต่เป็นระดับที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ จึงทำให้นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ลง ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้ราคาโดนเทขาย

.

ด้านหุ้นที่ราคาปรับลงมากที่สุดเป็นอันดับสองคือ JMART หรือ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาปรับลงมาแล้ว 30.67% อันดับสามคือ SGC หรือ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาปรับลงมาแล้ว 29.03%

.

อันดับสี่คือ ESSO หรือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาปรับลงมาแล้ว 28.97% และอันดับสุดท้าย NEW หรือ บริษัท วัฒนาการแพทย์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 66 ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 28.81%

.

ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของ JMT นักวิเคราะห์จากบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 23% และ 28% มาอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท และ 2.6 พันล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนมุมมองดังนี้ 1. ประเมินการลดสัดส่วนถือหุ้น JAM ลง 10% ส่งผลให้รับรู้กำไรลดลงราว 6% ในปี 2566-2567, 2. ปรับลดประมาณการ Cash Collection ลดลงจากเป้าการเติบโตของบริษัทที่ต่ำลงจากฐานกำไรปี 2565 ที่ต่ำกว่าฝ่ายวิเคราะห์และตลาดคาด, 3. ปรับลดสมมติฐานการซื้อหนี้ในปี 2566-2567 ลงจากเดิม 8 พันล้านบาท – 1 หมื่นล้านบาท ลงมาสู่ระดับ 7 พันล้านบาทต่อปี แต่ยังเป็นภาพเร่งตัวขึ้นจากปี 2565 ที่ซื้อได้ 4.6 พันล้านบาท

.

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไร JK AMC ขึ้นจากการรับรู้รายได้เต็มปีบนพอร์ตหนี้ที่เพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท สู่ 7 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมยังเป็นการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 22% ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทยังคงเป็นหนึ่งในผู้นาในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในระยะยาว โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงมาที่ 56 บาท จากเดิม 86 บาท

 

 


โจ๊กเกอร์