เขียนโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
---------------------------
คนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้นมักจะมีนิสัยที่สำคัญหลาย ๆ ประการ
และต่อไปนี้คือบางส่วนที่ผมคิดว่าเราควรจะต้องมีหรือต้องฝึกฝนไว้:
ข้อแรกคือ เวลาลงทุนอะไรก็ตาม คิดถึงเรื่องความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากกว่ากำไร ในการคิดถึงเรื่องนี้นั้น ผมมักจะดูหรือวิเคราะห์ถึง “พื้นฐาน” ที่แท้จริงของบริษัท การดูเรื่องนี้แปลว่าเราจะต้องคิดถึงผลประกอบการในระยะยาวหลายปี กรณีบริษัทปกติอย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป กรณีของกิจการที่เป็นสัมปทานหรือมีใบอนุญาตที่มีกำหนดเวลาแน่นอน
ส่วนใหญ่ผมจะต้องคิดไปถึงเวลาที่ครบกำหนด มักจะ “หลอก” ตัวเองว่า เมื่อซื้อหุ้นแล้ว ผมไม่มีสิทธิที่จะขายในเวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี ดังนั้นเวลาเราคิดแบบนี้ เราจะไม่เอาข่าวหรือการคาดการณ์ผลประกอบการในระยะสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปี มาเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน
มีอยู่บ่อยที่ผมพลาดลงทุนในหุ้นราคาพุ่งพรวด เพราะกำลังมีเหตุการณ์ดีๆ เกิดขึ้น และคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ซื้อมัน เหตุเพราะคิดว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว อนาคตต่อไปก็ “ไม่แน่นอน” ถ้าเราถือหุ้นยาวไปก็อาจจะขาดทุนได้
ความมี “วินัย” ที่แรงกล้าแบบนี้ ทำให้เราพลาดโอกาสทำกำไรง่ายๆ แต่ช่วยให้เราไม่ขาดทุนกับหุ้นตัวไหนได้ง่ายๆ และแม้ว่าบางตัวจะ “สะบักสะบอม” ในช่วงแรก แต่เมื่อถือยาวต่อไปมักจะ“ได้ทุนคืนมา”
ข้อสองคือถ้าเลือกหุ้นพื้นฐานดีในระยะยาว และหรือมีระบบในการลงทุนที่ถูกต้อง เช่น มีพอร์ตลงทุนที่เราคิดว่าเหมาะกับตัวเราแล้ว เช่น มีจำนวนเงินลงทุนในหุ้น 50% มีหุ้นกู้หรือพันธบัตร 30% มีสินทรัพย์ทางเลือกเช่น ทอง 10% ที่เหลือเป็นเงินสด เราควรรักษาการลงทุนของเราให้ “คงเส้นคงวา” ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปมา เมื่อประสบกับสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่าตื่นเต้นหรือตกใจง่ายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรง
ว่าที่จริงอะไรก็ตามถ้าไม่กระทบกับบริษัทที่เราลงทุนตรงๆ และแรง โดยส่วนใหญ่แล้วเราไม่ต้องทำอะไร นิสัยสำคัญที่เราจะต้องสร้างคือต้องทำใจให้สงบ เป็นคนที่ “ใจเย็นเป็นน้ำ” เวลาลงทุน
ผมเองไปลอนดอนบ่อย สิ่งที่เห็นเป็นประจำก็คือป้ายคำขวัญที่ทำเป็นของที่ระลึกที่เขียนว่า “Keep Calm and Carry on” หรือ “ใจเย็นและสู้ต่อไป” ซึ่งผมเข้าใจว่าเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่คนอังกฤษพยายาม “ปลอบใจ” ให้คนใจเย็น ๆ มีขวัญกำลังใจที่จะเอาชนะสงคราม ตอนหลังสินค้าก็เอามาทำเป็นคำโฆษณามากมายเช่น Keep Calm and Have a Cupcake หรือ ใจเย็นๆ แล้วก็กินขนมเค้กสักชิ้น และอื่นๆ อีกมาก
นิสัยข้อสามที่คิดว่าควรจะเตือนตัวเองให้ปฏิบัติตลอดเวลาก็คือ “สังเกตและคิดแบบนักลงทุน” นี่จะทำให้เราพบโอกาสในการลงทุนเช่นเดียวกับฝึกฝนให้เราเป็นนักวิเคราะห์ที่ดี สูตรที่ผมใช้ก็คือ พยายามคิดว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ต่างก็ “แข่งขันกัน” ผู้ชนะนั้นจะได้ “รางวัล” มากน้อยตามระดับการชนะนั้น ซึ่งก็จะส่งผลให้เขาหรือบริษัทหรือองค์กรอะไรก็ตามมี “ค่า” ต่อ “เจ้าของ” ตามที่ควรจะเป็น
แน่นอน บางสิ่งบางอย่างเช่นวัดหรือศิลปินที่ไม่มีสังกัดนั้น ไม่มี “เจ้าของ” ซึ่งในฐานะของนักลงทุนเราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ในกรณีของบริษัทจดทะเบียนนั้น เราสามารถเป็นเจ้าของได้ และนี่คือโอกาสที่เราจะลงทุน ในช่วงที่เรายังไม่คุ้นเคยกับการคิดแบบนี้ สิ่งที่เรามักจะสับสนคือ เราไม่รู้ว่าใครแข่งกับใคร บ่อยครั้งเราอาจจะสรุปว่า “ไม่มีคู่แข่ง” แต่ในความคิดผมแล้ว สิ่งมีชีวิตหรือองค์กรของสิ่งมีชีวิตนั้น มีคู่แข่งและแข่งกันเสมอ เพียงแต่บางครั้งเราอาจจะยังหาไม่พบ
นิสัยข้อสี่ที่สำคัญก็คือ หมั่นศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์และจิตวิทยา นอกเหนือไปจากการศึกษาเรื่องการลงทุน การอ่านหนังสือควรเป็นนิสัยติดตัว ผมเองมีคติว่าเราต้องกินอาหารที่ดีทุกวันเช่นเดียวกับต้องบริโภค “อาหารสมอง” เป็นประจำ
ดังนั้น ทุกสัปดาห์ที่ไปจ่ายตลาดเพื่อหาอาหารมากินตลอดสัปดาห์แล้ว ผมมักต้องไปจ่าย “อาหารสมอง” ในร้านหนังสือที่มีหนังสือดีๆ ที่ต้องใช้เวลาอยู่กับมันพอๆ กับการจ่าย “อาหารกาย” อาหารสมองหรือความรู้ที่เราได้รับนั้น จะช่วยให้เรามีพื้นฐานและความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการลงทุน
ข้อที่ห้า นิสัยที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนก็คือ อย่าเล่น “หุ้นปั่น” ทุกกรณี และพยายามหลีกเลี่ยงหุ้นที่มี Story หรือเรื่องราวที่น่าสนใจที่ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงมากในเวลาอันสั้นแล้ว วิธีสังเกตว่าตัวไหนเข้าข่ายเป็นหุ้นปั่นหรือหุ้นที่มี Story นั้น นอกจากข่าวและเหตุผลดี ๆ ที่ออกมาจากบริษัทหรือแหล่งข่าวอื่น ๆ แล้ว ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นก็เป็นข้อมูลสำคัญ ที่จะชี้ว่ามันเป็นหุ้นดังกล่าวหรือไม่
เกณฑ์คร่าวๆ คือราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงติดต่อกันหลายวัน คิดแล้วหุ้นอาจจะขึ้นไปเป็น 100% ในเวลาเพียงไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ส่วนปริมาณหุ้นเองก็สูงขึ้นมาก อัตราการหมุนเวียนหุ้นนั้นอาจสูงเป็น 50-100% ของปริมาณหุ้นทั้งหมดของบริษัทภายในการซื้อขายเพียงวันเดียว เป็นต้น
นอกจากนั้น ในเว็บบอร์ดเกี่ยวกับหุ้นที่แพร่หลาย มีผู้ติดตามกันมากนั้นก็มักจะมีคนโพสต์ข้อความเกี่ยวกับหุ้นดังกล่าวมากผิดปกติ นิสัยไม่สนใจหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูงและราคาหุ้นขึ้นไปมากแล้วนั้น ผมคิดว่าจะช่วยปกป้องให้เราไม่ขาดทุนหรือล้มเหลวจากการลงทุนในระยะยาว เหตุผลหนึ่งคือทำให้เราต้องเน้นเลือกหุ้นลงทุนเฉพาะกิจการที่มีผลประกอบการเป็นหลัก แทนที่จะเน้นข่าวและปัจจัยเอื้ออำนวยในระยะสั้น ซึ่งอาจไม่ได้กระทบกับพื้นฐานจริงของบริษัท
นิสัยแห่งความสำเร็จของการลงทุนข้อที่หกก็คือ ลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ตนเองรู้และเข้าใจ นั่นคือไม่ลงทุนตามคนอื่นตราบใดที่ตนเองยังไม่เข้าใจตัวกิจการจริงๆ เราอาจไม่ยอมลงทุนในหุ้นของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น ปิโตรเคมีเลยเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมนอกเหนือความรู้ของเรา นิสัยข้อนี้อาจจะทำให้เรามีหุ้นที่สามารถลงทุนได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือทำให้เรามีเวลาศึกษาวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวมากขึ้น นอกจากนั้น ความถูกต้องของการวิเคราะห์ก็จะสูงขึ้น การลงทุนของเราก็จะ Focus หรือไม่กระจายมากเกินไป และนี่จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเรามีแนวโน้มสูงขึ้น
นิสัยสุดท้ายคือการเน้นคุณค่าเวลาจะซื้อหรือทำอะไรต่างๆ นี่ไม่ใช่เฉพาะการลงทุนแต่รวมถึงการซื้อของอย่างอื่นหรือแม้แต่การทำงาน พูดง่ายๆ ทำอะไรก็ต้องดูว่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่ารายจ่าย หรือต้นทุนที่ทุ่มเทลงไป เมื่อทำแบบนี้จนกลายเป็นนิสัย การลงทุนของเราก็จะมีแนวทางหรือแนวคิดแบบเดียวกัน และจะทำให้การลงทุนของเราเป็นเรื่องของ Value Investment หรือเป็นการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยอัตโนมัติ
ผลที่ตามมาคือจะได้ผลตอบแทนดีในระยะยาวโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ ถ้าจะว่าไป ไม่มีเซียน VI คนไหนที่จะรักษาสถิติหรือผลงานการลงทุนที่ดีได้โดยปราศจากการมีนิสัยการลงทุนที่ดีด้วย และไม่มีใครคนไหนที่จะกลายเป็นเซียนได้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติและพัฒนานิสัยที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการเป็น VI ผมเชื่ออย่างนั้น