เสียงเตือนจากผู้ว่าแบงก์ชาติ เร่งปรับตัวรับโลกเปลี่ยน
คอลัมน์ ถอดสูตรคุย โดย บรรทัดเหล็ก
ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน เริ่มกระจายสู่ภาคเศรษฐกิจ จริงเป็นวงกว้างไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการส่งออกที่หดตัวเท่านั้น แต่เริ่มส่งผลต่อการจ้างงาน และกำลังซื้อของคนไทยชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนกรกฎาคมที่ติดลบ 9.1% เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ ติดลบ 5.6% ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ติดลบอยู่ที่ 0.5%
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มถือเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดกำลังซื้อของประชาชน การจัดเก็บภาษีที่ชะลอลง จึงเป็นภาพสะท้อนถึงการจับจ่ายใช้สอยของไทยที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและชะลอการบริโภค
แม้ว่ากระทรวงการคลังยังเชื่อว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงยังไม่ถือว่าเป็นการลดลงแบบมีนัยสำคัญที่น่ากังวลเพราะถ้าดูจากการบริโภคโดยรวมในช่วงครึ่งปีแรก การจำหน่ายรถกระบะ และรถจักรยานยนต์ก็ยังเติบโตได้ดี ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเพียงหนึ่งในส่วนของภาพรวมการบริโภคเท่านั้น
แต่ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเริ่มชะลอตัวมากขึ้นในไตรมาส 2 ที่ตัวเลขจีดีพีขยายตัวเพียง 2.3% ตํ่ากว่าที่คาดการณ์อย่างมากทำให้มีคำถามตามมาว่าเศรษฐกิจในขณะนี้มีความกังวลมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนขอนำความเห็นของ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2562 “รับมืออย่างไรในโลกที่ไม่แน ่นอน” บางช่วง บางตอนที่น่าสนใจมานำเสนอ
เริ่มจากปัจจัยความไม่แน่นอนด้านต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร? ในประเด็นนี้ ดร.วิรไท มองว่า เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิดที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศค่อนข้างมาก ดังนั้น สถานการณ์ด้านต่างประเทศที่เปราะบางส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยโดยตรง
สิ่งที่ธปท.กังวล คือการส่งออกที่หดตัวเริ่มมีผลกระทบไปสู่การจ้างงาน ซึ่งเป็นที่มาของรายได้ของประชาชน ที่อยู่ในตลาดแรงงาน การบริโภคใน พื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากเริ่มชะลอลง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้การลงทุนของภาคเอกชนชะลอลงด้วยตัวเลข GDP ของไตรมาส 2 สะท้อนให้เห็นชัดว่า การลงทุนของภาคเอกชนโตน้อยกว่าเดิมมากเพราะเมื่อมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการก็ระมัดระวัง
ดร.วิรไท เตือนว่า โจทย์ที่สำคัญมากกว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำหรับพวกเราทุกคนคือ ถ้ามองไกลไปในอนาคต เราต้องทำอะไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น บางคนมองการเปลี่ยนแปลงว่าน่ากลัว แต่อันที่จริงแล้วในทุกการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทาย มองไปข้างหน้าการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยใน 3 เรื่องที่จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับทุกคน ได้แก่
1. พัฒนาการทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด (Disruptive Technology) ด้านหนึ่งกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น สื่อมวลชนที่ต้องปรับตัว หรือแม้แต่ภาคการเงินที่ธนาคารพาณิชย์อาจต้องปิดสาขา แต่อีกด้านหนึ่ง ระบบพร้อมเพย์ ช่วยให้ประชาชนโอนเงินได้ถูกลงและเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะกระทบทุกอุตสาห กรรมและพวกเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จะนำมาซึ่งความท้าทายที่เราจะมีผู้สูงอายุในครอบครัวให้ดูแลมากขึ้น แต่ก็จะเกิดโอกาสทางธุรกิจและตลาดใหม่ๆ เช่น ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุยา อาหาร เสื้อผ้า และอุปกรณ์เครื่องใช้ของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในช่วงต่อไปจะเร็วขึ้น และมีผลที่กว้างไกลกว่าเดิม ประสบการณ์ที่โลกเปลี่ยนแปลงในหลายช่วงชี้ว่า เมื่อ disruption มาถึง จะมีหลายธุรกิจที่ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร สิ่งสำคัญคือ ทำอย่างไรคนไทยและธุรกิจไทยจะก้าวทันกับเทรนด์ใหม่ๆ และต้องปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ผู้ว่าการธปท. ทิ้งข้อสังเกตไว้อย่างสนใจว่า เรามักสนใจแต่เรื่องระยะสั้น เช่น GDP ปีนี้โตเท่าไรค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร ซึ่งทำให้เราเสียสมาธิและไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาว เช่น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลกที่กำลังเกิดขึ้น
มองไปข้างหน้าการเปลี่ยน แปลงของเทคโนโลยี การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือเทรนด์ของโลกเรื่องความยั่งยืน และการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะเป็นเรื่องสำคัญที่นำมาทั้งความเสี่ยงและความท้าทาย ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้คนไทย ธุรกิจไทย เก่งขึ้น มีผลิตภาพที่ดีขึ้น มีภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกันที่ดี
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก