เฟดตัดสินใจ 'คง' อัตราดอกเบี้ย แต่ยังส่งสัญญาณลด 2 ครั้งในปีนี้ | Podcast Available
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.50% ค่ะ ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องมาตลอดทุกการประชุมในปีนี้
คุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ได้อธิบายเหตุผลไว้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เฟดอยู่ในจุดที่พร้อมจะ "รอดูไปก่อน" เพื่อทำความเข้าใจทิศทางของเศรษฐกิจให้ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายใดๆ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขอเวลาเก็บข้อมูลเพื่อความชัวร์ก่อนนั่นเองค่ะ
แม้ว่าดอกเบี้ยจะยังไม่ลดในตอนนี้ แต่ข่าวดีที่หลายคนรอคอยก็ยังคงอยู่ค่ะ เพราะเฟดยังคงส่งสัญญาณเดิมว่า ภายในปี 2025 เราน่าจะได้เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นว่ากรรมการเฟดเองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันมากขึ้นนะคะ โดยมีกรรมการถึง 7 ท่านที่คาดการณ์ว่าปีนี้อาจจะไม่มีการลดดอกเบี้ยเลย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 4 ท่านในการประชุมเมื่อเดือนมีนาคม ขณะที่อีก 2 ท่านมองว่าจะมีการลดเพียงครั้งเดียวในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่สูงในมุมมองของผู้กำหนดนโยบาย
โดยทางด้านคุณพาวเวลล์เองก็ยอมรับในประเด็นนี้ โดยกล่าวว่า ด้วยความไม่แน่นอนที่สูงขนาดนี้ "ไม่มีใครที่ยึดมั่นกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้ด้วยความมั่นใจมากนัก"

ปรับมุมมองเศรษฐกิจใหม่: เงินเฟ้อสูงขึ้น เศรษฐกิจโตช้าลง
นอกจากการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยแล้ว เฟดยังได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจฉบับใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าได้เป็นอย่างดีค่ะ
เฟดได้ ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2025 ลงเหลือเพียง 1.4% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 1.7% ในขณะเดียวกัน ก็ได้ ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับสิ้นปี 2025 ขึ้นเป็น 3% จากเดิม 2.7% ส่วนคาดการณ์อัตราการว่างงานก็ถูกปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.5% ภายในสิ้นปีนี้
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนสถานการณ์ที่ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเฟด เพราะในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแอลง ซึ่งโดยปกติแล้วควรจะใช้วิธีลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อกลับดูเหมือนจะยังคงอยู่ ซึ่งตามหลักแล้วการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงจะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า
ปัจจัย 'กำแพงภาษี' ตัวแปรสำคัญที่เฟดจับตา
ประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในการแถลงข่าวคือผลกระทบจากนโยบาย "กำแพงภาษี" (Tariffs) ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเฟดและนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองตรงกันว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
คุณพาวเวลล์ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า "การขึ้นภาษีในปีนี้มีแนวโน้มที่จะผลักดันให้ราคาสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ" และย้ำว่า "ในท้ายที่สุด ต้นทุนของภาษีก็ต้องมีคนจ่าย และบางส่วนจะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภคคนสุดท้าย" เฟดตระหนักดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและกำลังรอจับตาดูก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใดๆ
ท่ามกลางความกังวลหลายด้าน ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ โดยยังคงมีการจ้างงานที่แข็งแกร่งและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 4.2% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฟดรู้สึกว่ายังสามารถใช้แนวทางที่อดทนและไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลดอัตราดอกเบี้ยค่ะ
เจาะลึกช่วงตอบคำถามสื่อ: ประเด็นร้อนจากห้องแถลงข่าว
ในช่วงตอบคำถามสื่อมวลชน คุณพาวเวลล์ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องที่ทุกคนกังวลกันค่ะ
เรื่องผลกระทบจากกำแพงภาษี (Tariffs): เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ คุณพาวเวลล์ยอมรับว่าการคาดการณ์ผลกระทบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในลักษณะนี้ เขาได้กล่าวว่า "เราต้องยอมรับอย่างถ่อมตนถึงความสามารถของเราในการคาดการณ์เรื่องนี้" แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ "ทุกคนที่ฉันรู้จักต่างคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีความหมายจากภาษี เพราะต้องมีใครสักคนจ่ายค่าภาษีนั้น"
เรื่องสงครามในตะวันออกกลาง: สำหรับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง คุณพาวเวลล์ระบุว่าเฟดกำลังจับตามองสถานการณ์อยู่ แต่ก็ให้ความเห็นว่า โดยปกติแล้ว การพุ่งขึ้นของราคาพลังงานมักจะไม่ได้ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจ เหมือนในอดีต เขายังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลางน้อยกว่าในอดีตหลายสิบปีก่อนมาก ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบในส่วนนี้ลงไปได้
การตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับข้อมูล (Data Dependent): ประเด็นนี้สำคัญมากค่ะ เพราะก่อนหน้านี้คุณพาวเวลล์ย้ำหลายครั้งว่าการดำเนินนโยบายของเฟดไม่ได้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจจริงที่ออกมา ซึ่งก็โดนนักข่าวถามไปว่า data ที่ออกมามันสนับสนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยหนิ แต่ทำไมเฟดถึงไม่ลดดอกเบี้ยโดยอ้างว่าเงินเฟ้อน่าจะพุ่งสูงขึ้นในอนาคตจากภาษี
คำตอบน่าสนใจมาก เพราะ พาวเวลล์มีชะงักไปนิดนึง ก่อนจะตอบว่า ปกติเฟดก็ดำเนินนโยบายการเงินตามสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่แล้วนะ เราพูดเสมอถึงคำว่า incoming data นอกจากนี้ data ที่ออกมาแล้วมันคือ lagging indicator และยกตัวอย่างเหตุการณ์ Covid-19 ที่เฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงจนเกือบ 0% ทั้งๆ ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่แย่เลย เพราะตอนนั้นเฟดคาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ในอนาคต
เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟด: มีนักข่าวถามถึงประเด็นที่วาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของคุณพาวเวลล์จะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคมปีหน้า (2026) ซึ่งเขาก็ตอบสั้นๆ ว่า "ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น" สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าวาระ "ประธาน" จะหมดไป แต่วาระการเป็น "คณะกรรมการ (Governor)" ของเขาจะยังคงมีอยู่ไปจนถึงปี 2028 ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว เขาสามารถอยู่ในบอร์ดของเฟดต่อไปได้แม้จะไม่ได้เป็นประธานแล้วก็ตาม
สรุปและความเห็นส่วนตัว
โดยสรุปแล้ว ท่าทีของเฟดในครั้งนี้คือการ "รอดูสถานการณ์" อย่างต่อเนื่องค่ะ แม้จะยังคงมีแนวโน้มการลดดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ แต่ของปีหน้าและปีถัดไปก็ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยลงจากเดิม สะท้อนว่ากรรมการส่วนใหญ่ก็เห็นว่าเงินเฟ้อน่าจะมีเด้งขึ้นแหละ แต่ก็ไม่ชัวร์จนกว่าจะรู้ว่าสุดท้ายภาษีจะเก็บที่เท่าไหร่ และนานแค่ไหน
มุมมองเงินเฟ้อจากภาษี พาวเวลล์ยังย้ำว่า เฟดคิดว่ามีผลกระทบแบบ one time off นะ แต่ก็ไม่ได้ตัดความเป็นได้ที่เงินเฟ้ออาจลากยาวกว่านั้นถ้าการส่งผ่านภาระมันเกิดขึ้นช้า ซึ่งส่วนตัวแอดมองว่าเงินเฟ้อภาพรวมอาจจะไม่ได้เด้งเยอะ เพราะเงินเฟ้อภาคบริการมันยังชะลอตัวลงมาชดเชยกับเงินเฟ้อภาคสินค้าที่อาจจะเด้งขึ้นได้ค่ะ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ขู่บริษัทต่างๆ ไม่ได้ขึ้นราคา
เรื่อง Data dependent น่าสนใจมาก เพราะตอนนี้เฟดเหมือนจะไม่ได้ตัดสินใจบนข้อมูลที่มีแล้ว แต่เป็นการ action บนการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเด้งขึ้นในอนาคตค่ะ ดังนั้นมันมีความเสี่ยงที่เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากเกินไปหากสุดท้ายแล้วเงินเฟ้อไม่มาตามนัด แต่ตลาดแรงงานดันชะลอตัวเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นนักลงทุนต้องจับตาตัวเลขภาคแรงงานอย่างใกล้ชิดค่ะ
ส่วนตลาดหุ้นดูเหมือนจะไม่ชอบใจการแถลงของพาวเวลล์ซักเท่าไหร่นะคะ เพราะยิ่งแถลง หุ้นยิ่งร่วง
เรื่องตะวันออกกลาง ลุงพาวเวลล์พูดเหมือนที่แอดบอกเป๊ะเลยแหละ ดังนั้นคอนเฟิร์มอีกรอบว่าไม่ต้องกังวลเยอะ ถ้าน้ำมันไม่ได้พุ่งไป 90-100 ดอลลาร์ค่ะ
ปล. ลุงพาวเวลล์เหมือนยอมรับกลายๆ แล้วว่าจะไม่ได้ไปต่อในสมัยหน้าค่ะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก.. Beauty Investor