ส่องงบกลุ่มประกัน Q1/63 แน่แค่ไหน... ในยุค COVID-19
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเกิดผลกระทบกับหลายธุรกิจ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นในวิกฤติครั้งนี้ นั่นก็คือ ธุรกิจประกัน ที่มีการพัฒนาประกันภัย COVID-19 ออกมาเสนอขาย ด้วยเบี้ยประกันที่ถูก และสามารถซื้อง่ายผ่านทางออนไลน์ ประกอบกับออกมาได้จังหวะเวลา จึงได้รับการตอบรับดีจากผู้ซื้อมียอดขายถล่มทลายกว่า 8 ล้านกรมธรรม์ เรียกว่าเข้ามาช่วยเสริมยอดขายประกันให้เพิ่มขึ้น
แม้ว่าหุ้นกลุ่มประกัน อาจจะอาจจะอยู่ในสายตาของนักลงทุนบ้างในช่วงที่ผ่านมา เพราะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ปริมาณการซื้อขายแต่ละวันไม่มากนัก รวมทั้งสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (free float) อาจจะน้อยเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ แต่จากอานิสงส์ COVID-19 และแนวโน้มธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพราะคนไทยยังมีการทำประกันต่ำหากเทียบกับประเทศอื่นๆ และปัจจุบันคนไทยเริ่มให้ความสำคัญและมองหาประกันมากขึ้นเพื่อคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งคุ้มครองชีวิต หรือเพื่อการออม เป็นต้น หากปรับโฟกัสดูดีๆ นักลงทุนอาจจะเห็นความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มประกันก็ได้
Wealthy Thai ได้รวบรวม และทยอยรายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ได้รวบรวม 9 หุ้นกลุ่มประกันที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) สูงสุด มาให้ติดตามกัน มีทั้งบริษัทประกันชีวิต ประกันวินาศภัย โบรกเกอร์ประกันภัย ...ไปดูกันเลย
จากผลประกอบการที่ออกมา พบว่า มีทั้งบริษัทประกันที่มีกำไรดีและบางบริษัทก็ขาดทุน ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อผลประกอบการใน Q1/63 นี้ ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลาดทุนที่ผันผวน ค่าใช้จ่ายสินไหมจากการเคลมประกัน การออกขายกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 รวมทั้งผลจากการนำมาตรฐานการการรายงานทางการเงินกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) และมาตรฐานการบัญชีสัญญาเช่าฉบับใหม่ (IFRS 16) มาใช้
COVID-19 หนุนเบี้ยประกันภัย-กำไร เติบโตดี
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI โดย ศรีจิตรา ประโมจนีย์ เลขานุการบริษัท BKI เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 668.8ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 582.0 ล้านบาท (หุ้นละ 5.47 บาท) เพิ่มขึ้น 86.8 ล้านบาท หรือ 14.9% โดยเป็นผลมาจากบริษัทมีรายได้จากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้นจากการขยายงานประกันภัยยานยนต์ในทุกช่องทาง และผลจากการขยายงานประกันภัยอุบติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยสุขภาพผ่านคู่ค้า รวมทั้งรายได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP โดย สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIP ระบุว่า บริษัทมีอัตราการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยสามารถทำเบี้ยประกันภัยรับรวมได้สูงถึง 6,103.45 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนเบี้ยประกันภัยรับรวม 4,882.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,221.29 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.02% ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยรับรวม ประกอบด้วย เบี้ยประกันอัคคีภัย 366.41 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 122.50 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรถยนต์ 1,327.23 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 4,287.31 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปี 2563 นั้น บริษัทฯ กำไรสุทธิรวม 527.55 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.88 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิรวม 519.91 ล้านบาท
“แม้กำไรสุทธิของบริษัทฯ จะใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เกิดจากกำไรจากการลงทุนที่ลดลง ขณะที่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจด้านประกันภัยกลับโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงถึง 519.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปีก่อนถึง 46.72%” สมพร กล่าว
ด้านบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI โดยนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MTI กล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 129.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.25 ล้านบาท ผลมาจากปัจจัยหลายประการได้แก่ บริษัทได้ออกกรมธรรมประกันภัยไวรัสโคโรนา COVID-19 ในเดือนมีนาคม 2563 เพื่อรองรับความต้องการของตลาด และ บริษัทมีค่าใช้จ่ายสินไหมที่เพิ่มขึ้นในส่วนของงานประกันภัยทั่วไปจากสิ้นไหมรายใหญ่ที่เกิดจากอุบัติภัยและภัยธรรมชาดิส่วนสิ้นไหมงานประกันภัยรถยนต์มีการปรับตัวลดลง เป็นผลจากการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยให้เหมาะสม และการลดสัดส่วนงานในช่องทางและประเภทผลิตภัณฑ์ที่ผลการรับประกันภัยไม่เข้าเกณฑ์ อย่างไรก็ดี สภาวะตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีความผันผวนอย่างมาก ทำให้เกิดผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย อย่างไรก็ตามยังคงมีรายได้และกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ปีนี้บริษัทได้นำแนวปฏิบัติทางการบัญชี เรื่อง เครื่องมือทางการเงินและการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกิจประกันภัย และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า มาถือปฏิบัติเป็นครั้งแรก ซึ่งมีผลผลกระทบต่องบแสดงฐานะทางการเงิน และกำไรสะสมต้นปี 2563
โบรกเกอร์ประกันเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM (หุ้นกลุ่มประกันเพียงตัวเดียวที่อยู่ดัชนี SET100) ซึ่งเป็นนายหน้าหรือโบรกเกอร์ประกัน โดย อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ TQM กล่าวว่า แม้หลาย ๆ ธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 แต่ TQM ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ยังสามารถปรับตัวได้ดี เนื่องจากเป็นธุรกิจประกันที่มีการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ทันท่วงทีตลอดเวลา ส่งผลให้ผลประกอบการดีเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งบริษัทมีรายได้ค่าบริการอยู่ที่ 814.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น23.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 156.7 ล้านบาท โดยยอดขายเบี้ยประกันภัยรถยนต์ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะเดียวกันได้ยอดขายจากประกัน COVID-19 ยิ่งผลักดันให้บริษัท สามารถสร้างรายได้รวมที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 179.3 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุด(นิวไฮ) เติบโต 68.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาใช้ในงานขายและงานบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขายผ่านแบงก์น้อยฉุดเบี้ยประกันชีวิตลดลง
ฟากประกันชีวิต บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) หรือ BLA โดย ม.ล. จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLA เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัท เน้นทำการตลาดในช่องทางจำหน่ายแต่ละช่องทาง โดยเฉพาะในช่องทางตัวแทนจำหน่าย ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีแบบประกันด้านสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการต่างๆ รวมถึงการออกแบบประกันใหม่ที่คุ้มครองด้านโรคร้ายแรง BLA Smart CI เป็นต้น ซึ่งในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีเบี้ยประกันรับปีแรกจำนวน 1,277 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการลดลงของช่องทางการขายผ่านธนาคาร ในขณะที่ช่องทางการขายผ่านตัวแทนประกันชีวิตและช่องทางอื่นๆ มีเบี้ยประกันรับปีแรกเพิ่มขึ้น และส่งผลให้บริษัทฯ มีเบี้ยประกันรับรวมในไตรมาสที่ 1 ของปี 63 อยู่ที่ 10,057 ล้านบาท ลดลง 4%
ปรับบัญชีตามมาตรฐานใหม่ส่งผลขาดทุน
ทั้งนี้ ม.ล. จิรเศรษฐ กล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนิงานทั้งสิ้น 230 ล้านบาท คิดเป็น ลดลง 82% เนื่องจากมีการปรับปรุงนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อความผันผวน (Provision for Adverse Deviation) เพิ่มขึ้นจากเดิม 4% ของ NPV Reserve เป็น 5% เพื่อรองรับการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายเงินสำรองประกันชีวิตเพิ่มขึ้นจากปกติ 2,668 ล้านบาท
เช่นเดียวกับการขาดทุนของ บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE โดย โอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THRE กล่าวว่า ไตรมาส 1 ปี 2563 ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 984 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการเติบโตของกลุ่มประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและสุขภาพ (A&H) โดยเฉพาะภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญและหันมาสนใจซื้อเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนได้ปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งปรับตัวลดลงกว่า 29% เมื่อเทียบจากช่วงปลายปี 2562 รวมทั้งการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ TFRS 9 ที่มีผลให้บริษัทฯ ต้องปรับมูลค่ายุติธรรมการลงทุนลงจำนวน 98 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการปรับตัวลงของกองทุน REIT, Property Fund (PF) และ Infrastructure Fund (IF) ส่งผลให้รายได้จากการลงทุนสุทธิขาดทุนจำนวน 74 ล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 78 ล้านบาท
“ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ เรายังคงเน้นการเติบโตด้าน อุบัติเหตุและสุขภาพ รวมทั้งกรมธรรรม์และการบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค เราเชื่อว่ายังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และเรามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ส่วนการลงทุนจะยังคงสัดส่วนการลงทุนไว้เช่นเดิม ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าพอร์ตการลงทุนของเรามีการจัดสรรสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมแล้ว” โอฬาร กล่าว
โบรกแนะนำ TIP - THRE
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก บริษัท หลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ภาพรวมกลยุทธ์ SET Index สร้างฐานบริเวณ 1,300-1,328 จุด แม้ระดับปัจจุบันจะซื้อขายด้วย Valuation ปี 2563 ที่ดูตึงตัว แต่ด้วยสภาพคล่องในระบบที่สูงมากและมีอัพไซด์เมื่อมองไปยัง Valuation ปี 2564 ทำให้ตลาดยังมีโอกาสไซด์เวย์ขึ้นในระยะสั้นหากไม่มีปัจจัยลบที่ชัดเจนเข้ามา สำหรับการเลือกเก็งกำไรรายตัว สามารถการเก็งกำไรในกรอบ 1,300-1,400 จุด ควรคุมความเสี่ยงด้วยการตั้งขาดทุนทุกครั้ง สำหรับหุ้นกลุ่มประกัน แนะนำ TIP และ THRE ( นอกจากนี้ กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ดี ได้แก่ IVL SCC STA TIP VRANDA และหุ้นกำไรมั่นคง (defensive) GPSC BCPG RATCH BCH CHG SSP SUPER รวมทั้งกลุ่มการเงินที่ยังไม่แพง BFIT, AMANAH เป็นต้น )
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก