อวสาน Finale... หนี้สหรัฐฯ ครบกำหนดชำระก้อนมหึมา ดอลลาร์ล่มสลาย? เรื่องที่เคยปั่นกันไว้... ตอนนี้เป็นไงมาดูกัน!
สวัสดีค่ะทุกคน จำกันได้มั้ยคะว่าช่วงต้นปีมีเรื่องนึงที่ถูก "ปั่น" กันหนักมากกก ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเจอวิกฤติครั้งใหญ่ โลกจะปั่นป่วน สกุลเงินดอลลาร์อาจถึงคราวล่มสลาย

เรื่องของเรื่องก็คือ "หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ครบกำหนดชำระในปี 2025 มันสูงเป็นประวัติการณ์" นั่นเองค่ะ
จากข้อมูลที่เราเห็นกันในรูป ตัวเลขมันใหญ่มากจริงๆ ค่ะ คือประมาณ $9.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ 9,191,135.92 ล้านเหรียญ) เป็นก้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย
กระแสข่าวตอนนั้นคือ... สหรัฐฯ จะหาเงินจากไหนมาจ่ายคืน? และที่สำคัญกว่าคือ เวลาที่ต้อง "Rollover" หรือออกหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่าเนี่ย จะมีคนซื้อเหรอ?
ความน่ากังวลมันอยู่ตรงนี้ค่ะ คือหนี้ก้อนใหญ่ๆ เนี่ยกระจุกตัวกันหนักมากในช่วง 7 เดือนแรกของปี คาดการณ์กันว่าหนี้ที่ครบกำหนดภายในสิ้นเดือน ก.ค. มีสัดส่วนเกินกว่า 60% ของหนี้ที่ครบกำหนดทั้งหมดในปีนี้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าครึ่งปีแรกคือบททดสอบสำคัญของจริง
ก่อนอื่น มาเข้าใจศัพท์กันก่อน
หนี้ครบกำหนด (Maturity): ก็เหมือนเวลาเรากู้เงินแล้วถึงวันที่ต้องคืนเงินต้นนั่นแหละค่ะ รัฐบาลก็เหมือนกัน พอพันธบัตรครบกำหนดอายุก็ต้องหาเงินต้นมาคืนคนท่ีซื้อไป
Rollover (การต่ออายุหนี้): ในความเป็นจริง รัฐบาลไม่มีเงินสดก้อนใหญ่ขนาดนั้นมาจ่ายคืนหรอกค่ะ สิ่งที่ทำคือ "การออกพันธบัตรชุดใหม่ เพื่อระดมเงินไปจ่ายคืนพันธบัตรชุดเก่า" ที่ครบกำหนด พูดง่ายๆ ก็คือการ "กู้ใหม่โปะเก่า" นั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลทำเป็นปกติ
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน... โลกแตกจริงมั้ย?
และนี่คือบทสรุปล่าสุดค่ะ... หนี้ก้อนมหึมานั้น... ได้ทำการ Rollover ไปเกือบจะหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ โดย ณ ปัจจุบัน (ปลายไตรมาส 3) คาดว่าน่าจะ Rollover ไปแล้วกว่า 80-90% ค่ะ
ถามว่าราบรื่น 100% มั้ย? ก็อาจจะมีตะกุกตะกักบ้างในการประมูลพันธบัตรบางรอบ ที่ความต้องการซื้อ (Demand) อาจจะไม่ได้ล้นหลามเหมือนเคย แต่สุดท้าย... ภาพรวมคือ "เอาอยู่" และผ่านมาได้แบบปกติเลยค่ะ ไม่ได้เกิดวิกฤติตามที่ปั่นกันไว้แม้แต่น้อย
แล้วทำไมโลกไม่แตกเหมือนที่เขากลัวกัน?
คำตอบง่ายๆ ก็คือ แม้จะมีข่าวปั่นมากมาย แต่ในโลกความเป็นจริง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ยังคงเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)" และเป็น "สกุลเงินหลักของโลก" ที่สถาบันการเงินและธนาคารกลางทั่วโลกยังเชื่อมั่นและต้องการถือครองอยู่ดีค่ะ
บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือ: ในโลกการลงทุนมักจะมี "เรื่องเล่า" ที่ถูกปั่นเพื่อสร้างความกลัวเสมอ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องกลับมาดู "ข้อมูลจริง" ที่เกิดขึ้นเสมอค่ะ อย่าเพิ่งตื่นตูมไปกับข่าวร้าย แต่ให้คอยติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
ส่วนใครที่เผลอเชื่อไปนั่น บอกเลยว่า “ตกรถ” ครั้งประวัติศาสตร์เช่นกันค่ะ
ปล. ตอนนี้คนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องนี้กันไหมน้าา ไม่เห็นเลยจริงๆ นะ
ที่มา.. Beauty Investor