Liquidity Concepts:
Demand & Supply – อ่านอย่างไรในกราฟหุ้น?
หนึ่งในศาสตร์ที่นักเทรดควรรู้ คือการมองหา Demand Zone (โซนซื้อ) และ Supply Zone (โซนขาย) เพราะมันคือรอยเท้าของรายใหญ่ (สถาบัน–กองทุน–เจ้า) ที่เข้ามาสร้างแรงซื้อแรงขาย
ถ้าเราอ่านออก เราจะรู้ทันว่า “หุ้นกำลังจะถูกเก็บ” หรือ “หุ้นกำลังจะถูกปล่อย”
..

Demand Zone – พื้นที่ของแรงซื้อ
ลักษณะบนกราฟ
• ราคา “ร่วงแรง” แต่แล้ว “ดีดกลับ” อย่างรวดเร็ว (V-shape หรือ U-shape)
• มักเกิดแท่งเขียวใหญ่ ๆ หลายแท่งติด หลังจากมีแท่งแดงแรง ๆ
วิธีอ่าน
ตรงนี้แปลว่า มีคน “ยอมรับของ” ปริมาณมากในช่วงราคานั้น → เกิดเป็น “ฐาน” ที่ทำให้ราคามีโอกาสดีดขึ้นอีกครั้ง
กลยุทธ์
• ถ้าราคากลับลงมาแตะโซนเดิม แล้วไม่หลุด → เป็นโอกาสเข้าซื้อ
• Demand Zone ที่ทดสอบหลายรอบแล้วไม่หลุด ยิ่งแข็งแรง
..
Supply Zone – พื้นที่ของแรงขาย
ลักษณะบนกราฟ
• ราคา “พุ่งแรง” แต่ถูกทุบลงทันที
• มักเห็นแท่งแดงใหญ่ ๆ เกิดหลังจากมีแท่งเขียวแรง ๆ
วิธีอ่าน
ตรงนี้คือโซนที่รายใหญ่ “ปล่อยของ” ออกมา → ทำให้ราคาสูงขึ้นไปไม่ไหวและต้องร่วงลง
กลยุทธ์
• ถ้าราคายกตัวขึ้นมาเจอโซนนี้ แล้วไม่ผ่าน → เป็นสัญญาณขายหรือ Short
• Supply Zone ที่ถูกแตะแล้วราคายกไม่ขึ้นหลายครั้ง → เป็นแนวต้านแข็งแรง
..
Demand & Supply ทำไมถึงสำคัญ?
1. เป็นรอยเท้าของรายใหญ่ → ราคามีโอกาสกลับตัวแรง ๆ
2. ใช้เป็น แนวรับ–แนวต้านที่มีเหตุผล มากกว่าเส้นวาดสุ่ม
3. ช่วยกำหนดจุดเข้า–ออกที่มีความเสี่ยงต่ำ และ Reward สูง
..
สรุป
• Demand Zone = พื้นที่ที่มีแรงซื้อหนุน ราคามักดีดขึ้น
• Supply Zone = พื้นที่ที่มีแรงขายหนาแน่น ราคามักถูกกดลง
• การอ่านออกทำให้เรารู้ว่า “ตลาดกำลังเก็บของ” หรือ “ตลาดกำลังทิ้งของ”
...
Supply Creation
ราคาเด้งขึ้น แล้วกลับตัวลง
• ตรงนี้คือโซนที่ “แรงขาย” เข้ามาเยอะ จนราคาสู้แรงไม่ไหว → เกิด Supply Zone
• มักเห็นเป็นแท่งเขียวขึ้นไปก่อน แล้วเจอแท่งแดงทุบลงแรง
ความหมาย → เป็นสัญญาณว่า ผู้ขายพร้อมใส่ของเพิ่ม ถ้าราคากลับขึ้นมาแตะโซนนี้อีก มีโอกาสร่วงต่อ
...
Demand Creation
ราคาเด้งลง แล้วกลับตัวขึ้น
• คือจุดที่ “แรงซื้อ” เข้ามารับของหนัก → เกิด Demand Zone
• มักเห็นแท่งแดงลงมาก่อน แล้วตามด้วยแท่งเขียวดีดแรง
ความหมาย → แปลว่าตลาดมองว่าราคานี้ “ถูกเกินไป” รายใหญ่เข้ามาเก็บของ ถ้าราคาลงมาแตะอีกครั้ง โอกาสดีดสูง
...
Supply Continuation
ราคา Break ลงทำ New Low แล้วรีเทสต์
• หลังจากราคาทำ Low ใหม่ จะมีการเด้งขึ้นเล็กน้อยเพื่อ “ทดสอบโซนเดิม”
• โซนนั้นจะกลายเป็น Supply ต่อเนื่อง → ทำหน้าที่เป็นแนวต้านอัตโนมัติ
ความหมาย → มักเป็นสัญญาณเริ่มลงรอบใหม่ เพราะ Demand ถูกดูดซับหมดแล้ว
...
สรุป
• Supply Creation = จุดเริ่มแรงขาย
• Demand Creation = จุดเริ่มแรงซื้อ
• Supply Continuation = การยืนยันว่าลงต่อ
...
Bearish Gap
เวลาราคาทิ้งตัวลงแรง ๆ มักจะเกิด “ช่องว่าง” ระหว่างแท่ง (Candlestick) → นี่คือสัญญาณว่าแรงขายเข้ามาแบบรุนแรงจนไม่มีใครกล้ารับของในจังหวะนั้น
Bearish Gap มักตามมาด้วยการปรับฐานต่อ เพราะสะท้อนความกลัว (Fear) ในตลาด
...
Structure Retest
ราคาทะลุแนวรับ–แนวต้านไปแล้ว ถ้า “วกกลับมารีเทสต์” โซนเดิม และ ยืนได้ → นี่คือการยืนยันว่า Breakout นั้น “ของจริง” ไม่ใช่หลอก
ถ้ารีเทสต์ไม่ผ่าน → ตลาดอาจกลับตัวทันที
...
Bullish Gap
ตรงข้ามกับ Bearish Gap → ถ้าราคาพุ่งแรงจนเกิดช่องว่างด้านล่าง แปลว่ามีแรงซื้อหนักมาก
นักลงทุนมักมองว่าเป็นสัญญาณ Bullish Momentum และถ้ากราฟไม่รีบลงมาปิด Gap → มักไปต่อ
...
Bullish Liquidity Run
นี่คือ กับดัก ที่เจอประจำ
• ราคา “แทงลงแรง” หลอกให้คนคิดว่าจะหลุดแนวรับ
• กิน Stop Loss ที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง
• ก่อนจะเด้งขึ้นแรง → เกิดการ “กลับตัวแบบโหด”
...
Bearish Liquidity Run
ในฝั่งกลับกัน
• ราคาพุ่งแรง หลอกให้คน Buy ตาม
• ไปกิน Stop Loss ที่ซ่อนอยู่ด้านบน
• จากนั้นร่วงแรง → ทิ้งคนที่โดนหลอกไว้ข้างหลัง
ทั้งสองแบบนี้คือการ “ล้วงสภาพคล่อง” เพื่อให้รายใหญ่เข้ามาเก็บ/ปล่อยของได้ง่ายขึ้น
...
Gap Filled
กฎเหล็กของตลาด: Gap มักจะถูกปิด ไม่ว่าเร็วหรือช้า
เพราะช่องว่างของราคา = จุดที่ตลาด “เสียสมดุล”
เมื่อเวลาผ่านไป ราคามักจะย้อนกลับมาเติมเต็ม ทำให้สมดุลกลับคืน
สรุป
• Gap = เครื่องบอกโมเมนตัม (Bullish / Bearish)
• Structure Retest = เครื่องยืนยันการ Breakout
• Liquidity Run = กลยุทธ์หลอก Stop Loss ก่อนจะไปทางจริง
• Gap Filled = ตลาดกลับเข้าสู่สมดุล
สรุป:
คอนเซ็ปต์พวกนี้ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรม “กินสภาพคล่อง” ของตลาด ว่าทำไมราคามักหลอกขึ้น/ลงก่อนจะวิ่งจริง เหมาะสำหรับใช้วิเคราะห์ร่วมกับโซน Demand-Supply, แนวรับ-แนวต้าน และ Volume Profile
เนื้อหาที่มาจาก. หุ้นพอร์ทระเบิด