ห้องเม่าปีกเหล็ก

'ท็อป - จิรายุส' แชร์เทรนด์ โลกยุคใหม่ ต้อง Quality Growth

โดย PhotoStory
เผยแพร่ :
61 views
#scoop 'ท็อป - จิรายุส' แชร์เทรนด์
โลกยุคใหม่ ต้อง Quality Growth
 
 
 
 
.
จากการเข้าร่วมประชุมใน World Ecomnomic Forum 2022 ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ "ท็อป - จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" ที่ได้เข้าร่วมงานใหญ่ครั้งนี้ ในฐานะตัวแทนนักธุรกิจจากประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเขาได้รับเชิญเข้าร่วมการเสวนาแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “DeFi – Future of Decentralized Governance” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากนานาชาติ
.
"ท็อป" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่ชื่อเสียงด้านการเงินดิจิทัลคริปโตเคอเรนซี่ และบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกๆ ของไทย เล่าอย่างน่าตื่นเต้นว่า งาน World Ecomnomic Forum 2022 เป็นงานที่เขาได้เรียนรู้มากมาย จากผู้นำระดับประเทศทั่วโลก 2,100 คนที่เข้าร่วมงาน
.
"บิทคับ ไม่ได้มีมาร์เก็ตแคป 3-4 หมื่นล้าน หรือ Net Profit 3-4 พันล้าน แต่ปีนี้ World Ecomnomic Forum เขาเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี เขาเปิดแคตากอรี่ใหม่ เรียกว่า Global Innovator บิทคับเลยได้เข้าเป็นสมาชิก และปีนี้มีบริษัทไทย 7-8 บริษัทเข้าร่วม แต่ที่เยอะจริงๆ คือ อินโดนีเซีย และกัมพูชา"
.
"ท็อป" บอกว่า ตลอด 5-6. วันที่ร่วมงาน เขาได้เรียนรู้เยอะมาก และพยายามเข้าไปร่วมฟังทุกเซ็กชั่น และสิ่งที่เขาพอจะสรุปได้และเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังพูดถึงอย่างมาก รวมทั้งเป็นทิศทางที่ประเทศควรเรียนรู้ คือ
.
1. Quality Growth คือ สิ่งที่เขาพูดกันเยอะมาก จากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราพูดกันแต่เรื่อง Aggressive Growth หรือ Hi-Speed Growth ว่ากันเรื่องรายได้ เน้นการเติบโต เน้นผลประโยชน์ นั่นคืออดีต แต่สิ่งที่พูดกันมากๆ ตอนนี้คือ Quality Growth โดยทุกเซ็กชั่นจะพูดถึงกันมากคือ Green Economy, Decarbonization และ Carbon Cardit
.
ไมโครซอฟต์บอกว่า ปี 2030 เขาต้องทำ Carbon Neutrality หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ให้ได้ และวิธีการที่นับ Carbon Consumption ของเขาก็บาร์สูงมาก เขาส่งออกไมโครซอฟท์ทีม ทุกวันที่เปิดใช้ไมโครซอฟท์ทีม คือ Carbon Consumption ทั้งหมด และหลังจากนั้นคือ Carbon Negative และรัฐบาลของแต่ละประเทศก็กำลังขับเคลื่อนให้ประเทศและองค์กรต่างๆ เดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality เช่นกัน
.
ในอินโดนีเซีย มีผู้นำบริษัทที่เป็นเจ้าของป่าที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย เขาเปิดมา 15 ปี ไม่เคยกำไรเลย แต่ 2 ปี ที่ผ่านมา กำไร 3-4 พันล้านทุกปี เพราะคาร์บอนเครดิตราคาพุ่งกระฉูด หรือรัฐบาลจีน ที่เลิกผลักดันการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ ให้เป็น Hi-Speed Growth และพยายามปรับให้การเติบโตสมดุลย์กับความต้องการในตลาด เพราะการไปแบบไฮสปีด ไม่ใช่แนวทางของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
.
หรือการเลือกซื้อโปรดักส์ หากจะบอกแค่ราคาดี คุณภาพได้ ต้นทุนไม่แพง ก็ไม่ใช่คำตอบที่ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าของคุณทันทีอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เขาจะเลือกคือ คุณเป็น Green Product หรือเปล่า และในอีกแค่ 8 ปี ทุกบริษัทใหญ่ต้องถูกบังคับให้ได้ไปสู่ Carbon Neutrality ให้ได้
.
ดังนั้น Growth Area อย่างแรกของไทย คือ Quality Growth
.
2. Digital Wealth
.
บริษัทที่รวยที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ตอนนี้ คือ บริษัทที่ทำเรื่องเทคโนโลยี ในขณะที่กูเกิล บอกว่า ประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ต้องเอาพนักงานออก ต้องตัดต้นทุน แต่ 2 ปีที่ผ่านมา มีคนใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านคนในอาเซียน จาก 280 ล้านคน ทุกๆ 10% ตรงนี้ 90% เป็นคอนซูเมอร์ ดาต้าพวกนี้ มันบอกว่า เงินกำลังเปลี่ยนกระเป๋า แม่น้ำกำลังจะเปลี่ยนสาย
.
ประเทศไทย Digital Economy เราเท่าไร ของไทย 20% ของจีดีพีมาจาก ส่งออก และท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากโควิด -10 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของไทยตก
.
3. ความเท่าเทียมทางดิจิทัลหรือ Digital Inclusion
.
ที่ผ่านมา เราพูดแต่การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) แต่ตอนนี้ มันคือ Digital Inclusion โดยมี 3 เรื่องหลัก คือFinancial Inclusion, Education และ Healthcare ทั้ง 3 อย่างนี้ คือ Growth Area แน่นอน
.
ต่อการการเชื่อมต่อเป็นสิ่งสำคัญ การที่จะเรื่องของ Education ต้องทำให้ทุกคนเข้าถึง คนทำงานทำงานไปซักพัก ก็ต้องมีการรีสกิล อัพสกิลตลอด เพื่อปรับทักษะให้ตรงต่อความต้องการของตลาด แต่ถ้าไม่สามารถเชื่อมต่อ ไม่มีอินเตอร์เน็ต การเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่ตรงกับความต้องการของตลดาจะถูกจำกัด เช่นเดียวกับการทำงาน ก็ต้องทำให้สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ทุกคนสามารถเชื่อมต่อ เพราะฉะนั้น รัฐบาลควรจัดกรให้เรื่องของอินเตอร์เน็ต เป็นสินค้าสาธารณะ (Public Goods)
.
4. Globalization
.
ผู้นำทั่วโลกบอกว่า Globalization ในยุคนี้ ดีกว่ายุคที่แล้ว ทุกคนจะดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีเท่ากันหมด และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ Change of Value chain หลังจากหลายประเทศต้องชัตดาวน์ในช่วงโควิด ทำให้ซัพพลายเชนมันเปลี่ยน หลังจากนี้ จะเกิด surprise hub หลายๆ แห่ง ซึ่งวันหนึ่งประเทศไทยอาจจะเป็น surprise hub ที่ไม่มีใครคาดถึง surprise connection หลายๆ ฮับที่เราไม่เคยคิดมาก่อนจะเกิดขึ้น และนี่คือโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่
.
5. Inflation หรือ เงินเฟ้อ
.
เรื่องของเงินเฟ้อ มีการพูดกันเยอะที่สุดใน World Ecomnomic Forum 2022 ซึ่งธนาคารของแต่ละประเทศมีข้อตกลงกันว่า ภายในปี 2024 ต้องทำให้ค่าเงินเฟ้อกลับมาปกติดให้ได้ แต่การเพิ่มเงินเฟ้อ ง่ายกว่าการลด แปลว่า บริษัทไหนที่ยังขาดทุนอยู่ นรกครับ ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า สตาร์ทอัพไหนที่ยังขาดทุนอยู่ นักลงทุนไม่ลงทุนแน่นอน เขาจะลงทุนในบริษัทที่กำไรอย่างเดียวหลังจากนี้ ผู้ประกอบการต้องดูบาลานซ์ชีสให้ดี
.
นอกจาก 5 เทรนด์ นี้แล้ว ใน World Ecomnomic Forum 2022 ยังพูดถึงเรื่องของ Metaverse และ WEB 3.0 ที่กำลังตามมาแน่นอน
.
เทรนด์พวกนี้ เป็นแนวโน้มที่ประเทศควรเร่งศึกษา และภายในอีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีการประชุม World Ecomnomic Forum ครั้งต่อไป หลายๆ เรื่องในที่ประชุมแห่งนี้ ผู้นำประเทศและองค์กร สามารถนำมาเป็นแนวทางเเพื่อพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศได้
 
 
 

PhotoStory