ห้องเม่าปีกเหล็ก

BBL ความ Conservative ส่งผลบวกในเวลานี้

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
75 views

BBL ความ conservative ส่งผลบวกในเวลานี้

 หลัง KBANK ได้ให้ข้อมูลแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปีหน้าออกมา ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารใหญ่ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ BBL KBANK SCB ปรับตัวลงมาแรง


โดย KBANK นั้นปรับตัวลงมาแรงกว่าเพื่อน ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเป็นการให้ข้อมูลของธนาคารเอง


การที่หุ้นธนาคารอื่นปรับตัวลงตามมาด้วย เป็นเพราะนักลงทุนเกิดความกังวลว่า สถานการณ์ของ BBL กับ SCB จะคล้ายคลึงกันกับ KBANK

อย่างไรก็ดี ในเวลานี้ ธนาคารใหญ่ทั้ง 3 แห่ง เริ่มมีนโยบายที่แตกต่างกันในการดำเนินธุรกิจ ทำให้สถานการณ์ของทั้ง 3 แห่งอาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็เป็นได้


BBL เป็นธนาคารที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความ conservative อยู่แล้ว คือเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก จะเห็นได้จากตัวเลขเงินตั้งสำรองที่สูงที่สุดในกลุ่ม


BBL ยังคงเน้นการปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก และเป็นผู้ตามในเรื่องของ digital banking หากเทียบกับคู่แข่ง


ธนาคารยังมีการเติบโตจากค่าธรรมเนียมด้าน bancassurance ภายหลังจากที่เป็นตัวแทนขายประกันให้กับ AIA ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจประกันชีวิต


SCB เริ่มฉีกแนวของตัวเองออกมาเน้นการทำตลาด digital banking มากขึ้น โดยเริ่มบุกตลาดการปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่านแอพ SCB Easy แน่นอนว่า สินเชื่อรายย่อยนั้น ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าสินเชื่อรายใหญ่มาก โดยปัจจุบันมีผู้ขอสินเชื่อผ่านแอพของ SCB สูงถึง 4 หมื่นกว่าล้านบาท นี่เป็นเหตุผลให้ NIM หรืออัตรากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น


แต่ เมื่อมีด้านบวก ก็ต้องมีด้านลบเสมอ ... แม้ SCB จะออกมาบอกว่า การปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์นั้นอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แต่ในมุมของนักลงทุน เราคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่า คำว่า "ยอมรับได้" นั้น คืออะไร


สิ่งที่รู้ก็คือ ยังไงก็ตามความเสี่ยงก็ต้องเพิ่มมากขึ้น และในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ คือ ธุรกิจใหญ่อยู่ได้ แต่ธุรกิจขนาดกลาง เล็ก และคนทั่วๆไปเริ่มมีปัญหาการจับจ่ายใช้สอย โอกาสที่หนี้เหล่านี้จะกลายเป็นหนี้ที่มีปัญหาก็สูงมากตามไปด้วย


ช่วงเศรษฐกิจเติบโตดี ธุรกิจจะกู้เงินเยอะ สินเชื่อรายย่อยจะโตในส่วนสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อเคหะ แต่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ กับสินเชื่อบุคคลไม่น่าจะโตแรง กลับกัน ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจจะกู้เงินไม่ค่อยได้ (เพราะแบงก์ไม่ปล่อย) แต่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ กับสินเชื่อบุคคลจะโตแบบไม่ยั้งกันเลยทีเดียว จะเห็นได้จากการเติบโตของ SAWAD MTC AEONTS KTC


การที่ SCB เริ่มเปิดให้บริการสินเชื่อผ่านแอพไม่ถึงปี แต่มีคนเข้าคิวกู้เงินไปแล้วถึง 4 หมื่นกว่าล้าน มันก็น่าจะสะท้อนอะไรได้พอสมควร

การเพิ่มพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของ SCB นั้น ถ้าควบคุมความเสี่ยงได้ดี แน่นอนว่าจะทำให้ธนาคารได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากจำนวนเงินที่เท่ากัน แต่หากธนาคารควบคุมความเสี่ยงได้ไม่ดีพอ ปัญหาจะตามมาได้แต่ที่แน่ก็คือ เมื่อ SCB เลือกที่จะเดินในแนวทางนี้ นักลงทุนที่คิดจะลงทุนใน SCB จะต้องรับรู้ถึงความเสี่ยงในการเลือกดำเนินธุรกิจของธนาคารเอาไว้ด้วย

ประเด็นการขาย SCBLIFE ต้องบอกว่า ดีลนี้ได้ราคาไม่ได้ดีมากนัก เพราะคนในวงการประกันชีวิตรู้ดีว่า SCB เคยเอา SCBLIFE มาเร่ขายรอบหนึ่งแล้ว แต่ว่าจะขายแพง ไม่มีใครอยากได้


แต่ทาง FWD ได้ขอเข้าเจรจาอีกครั้ง และราคาที่ต่อรองกัน ก็เป็นราคาที่ถูกปรับลดลงมากว่าครั้งแรกที่ SCB ต้องการขาย ท้ายสุดจึงบุคเป็นกำไรได้เท่าที่เห็น


และที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนก็คือ SCB ดันเกิดปัญหาในกรณีของ PACE จนทำให้ต้องถือโอกาสนำเอากำไรจากการขาย SCBLIFE เกือบทั้งก้อนมาตั้งสำรอง


จากที่ราคาหุ้น SCB เคยถูกไล่ขึ้นไปเพราะคาดการณ์ว่าจะมีกำไรจากการขาย SCBLIFE มาก และน่าจะมีการจ่ายปันผลพิเศษได้สูง เอาเข้าจริง ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะมีหรือไม่สำหรับปันผลพิเศษ และต่อให้มี ก็ไม่น่าจะจ่ายได้มาก


เอ้า ก็สรุปว่า SCB เลือกจะเดินในทางที่เสี่ยงมากขึ้น เพื่อแลกกับอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากกลุ่มลูกค้ารายย่อย


KBANK นับเป็นผู้จุดประกายให้เกิดแรงขายในกลุ่มธนาคารใหญ่กันเลยทีเดียว หลังออกมาให้มุมมองการประกอบธุรกิจในปีหน้า


สิ่งที่ KBANK ให้ข้อมูล แม้จะไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับ BBL หรือ SCB ได้โดยตรง เพราะพอร์ตของสินเชื่อที่แตกต่างกัน แต่บางอย่างมันทำให้เกิดความสงสัยว่า แบงก์อื่นจะไม่กระทบจริงหรือ??

 

KBANK เป็นธนาคารที่ค่าธรรมเนียมหดตัวลงอย่างน่าผิดหวังเลยทีเดียว แต่นั่นเป็นเพราะรายได้ในส่วนของ bancassurance ที่ต่ำ


นับเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากทีเดียว เพราะปัจจุบันนี้ถ้าไม่จำเป็นลูกค้าแทบจะไม่อยากเดินเข้าสาขาของ KBANK และ SCB เลย เพราะเป็นที่ร่ำลือกันเลยว่า พนักงานของ 2 ธนาคารนี้ เหมือนจะเป็นตัวแทนขายประกันมากกว่าพนักงานธนาคาร


ยังไม่รวมกับนโยบาย "ขายพ่วง" ที่ผูกประกันแบบยัดเยียดเข้าไปกับผลิตภัณฑ์ของธนาคาร ทั้งๆที่แบงก์ชาติบอกว่าแบงก์ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นจะลงดาบอะไร ก็ยังเห็นมีร้องเรียนกันทุกวัน


ตรงนี้ก็อยากฝากบอก KBANK ว่า การบีบพนักงานให้ขายให้ได้ จนพนักงานต้องมาบีบลูกค้านั้น อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายให้หรอกนะ แต่มันกลับจะสร้างภาพในทางลบให้กับธนาคารเสียมากกว่า


KBANK ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้าน internet banking / mobile banking มาก่อนหน้านี้ ปัจจุบันความโดดเด่นส่วนนี้ได้เริ่มหายไปแล้ว จากการที่คู่แข่งอย่าง SCB เจาะตลาดได้รวดเร็วมาก หรือแม้กระทั่ง KTB เองก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน จากการที่เป็นธนาคารเดียวที่เป็นสื่อกลางส่งผ่านนโยบายแจกเงินของภาครัฐ


KBANK ยังคงโดดเด่นเรื่องสินเชื่อ SMEs แต่ก็นั่นล่ะ ในช่วงเวลานี้ กลุ่ม SMEs นี่ล่ะที่ประสบปัญหามากที่สุด


ดังนั้น สิ่งที่ KBANK ออกมาประเมินธุรกิจของตนเองในปีหน้า ส่วนหนึ่งจึงเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับทั้งระบบธนาคาร เช่น การคาดการณ์การขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลง คุณภาพสินเชื่อที่แย่ลง แนวโน้มการปรับขึ้นของ NPL และการตั้งสำรองที่น่าจะยังไม่ลดต่ำลง แม้ IFRS 32 จะเริ่มใช้ในปี 2563 ก็ตาม

แต่บางเรื่องก็เป็นประเด็นส่วนตัวของ KBANK เอง เช่นเรื่องค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกัน เป็นต้น


นักวิเคราะห์หั่นราคาเหมาะสมของ KBANK ลงมาจนน่ากลัวมาก เรียกได้ว่า ถ้าเอา upside จากราคาเหมาะสมของนักวิเคราะห์ ตอนนี้ KBANK นั้นต่ำที่สุด


ประเด็นหลักในเวลานี้จึงอยู่ที่ว่า นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารด้วยเหตุผลอะไร??


หลัง IFRS 32 บังคับใช้ต้นปีหน้า ธนาคารมีสิทธิที่จะนำเอาสำรองส่วนที่ตั้งเกินไปมาบุคกลับเป็นกำไรได้ (ธนาคารตั้งสำรองสูงมากในช่วงสองสามปีมานี้ เพื่อรองรับการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่)


แต่ทั้ง 3 ธนาคารใหญ่ ยังไม่มีใครส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดการตั้งสำรองเลย ทุกธนาคารยังคงบอกว่าการตั้งสำรองน่าจะอยู่ในระดับเดิมเพื่อรองรับความเสี่ยง


นั่นแสดงว่า ในแง่การตั้งสำรองนั้น แม้จะมีการโหมตั้งกันก่อนหน้านี้ไปมาก แต่ก็เป็นความต้องการของธนาคารเองด้วย ที่ต้องการเน้นความปลอดภัยในส่วนนี้


แล้วนักลงทุนล่ะ? ให้ความสำคัญกับอะไรของธนาคาร


ในช่วง 4 - 5 ปีที่แล้ว ไม่เคยมีใครมองหุ้น BBL เลยด้วยซ้ำ เพราะดาวเด่นของกลุ่มธนาคารใหญ่นั้น มีแต่ KBANK กับ SCB ที่ผลัดกันได้ตำแหน่งนี้


แต่ในเวลานี้ BBL ซึ่งเป็นธนาคารที่เรียกได้ว่า conservative ที่สุด และปรับเปลี่ยนอะไรแทบจะช้าที่สุดในกลุ่มธนาคารใหญ่ กลายเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ชอบมากที่สุด


เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจรวมถึงภาวะตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างมากใช่หรือไม่?


BBL จึงถูกเลือกในฐานะที่เป็นหุ้นที่มีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงในเวลานี้ได้มากกว่าอีก 2 ตัว


แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมควบคู่กันไปด้วยก็คือ


technology disruption คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนในกลุ่มธนาคาร ซึ่ง KBANK และ SCB กำลังปรับตัวอย่างมากเพื่อให้ธุรกิจของตนเองเดินต่อไปได้ในอนาคต

แต่ภาพของ BBL ในเวลานี้ ยังเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญหรือกังวลกับตรงนี้มากเท่าไหร่ ดูแค่จาก app การใช้งานของ BBL บนเน็ตและมือถือ ที่แทบไม่มีการพัฒนาใดๆเลย


วันนี้ BBL จึงดูเหมือนปลอดภัยจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจ


แต่ BBL ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยจากความเสี่ยงด้าน technology disruption ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้เลย


คนเล่นหุ้น