ช็อก! ตัวเลขเศรษฐกิจจีน ต.ค. "พัง" ทั้ง 3 ด้าน
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนล่าสุดประจำเดือนตุลาคมเพิ่งประกาศออกมาเมื่อเช้านี้ และต้องบอกว่า... น่าผิดหวังกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้พอสมควรเลยค่ะ มันกำลังส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกกำลังสูญเสียแรงส่งในช่วงเริ่มต้นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เรามาเจาะลึกกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

สัญญาณชะลอตัว 3 จุดใหญ่ ที่น่าจับตา
เมื่อเช้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญหลายตัว ที่สะท้อนภาพรวมว่าเศรษฐกิจกำลัง "เย็นลง" กว่าที่คาด โดยมี 3 ตัวหลักๆ ที่ต้องดูเลยค่ะ
1. ภาคการผลิต (โรงงาน) แผ่วลง
ตัวเลขแรกคือ "การผลิตภาคอุตสาหกรรม" (Industrial Production) ค่ะ ตัวนี้จะบอกเราว่าภาคโรงงานผลิตสินค้าได้มากน้อยแค่ไหน ในเดือนตุลาคม ตัวเลขนี้ขยายตัวที่ 4.9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าแผ่วลงชัดเจนจากเดือนกันยายนที่โตถึง 6.5% ที่สำคัญคือ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจะออกมาที่ 5.5% การที่ตัวเลขจริงออกมาต่ำกว่าคาดแบบนี้ถือเป็นสัญญาณลบค่ะ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฐานเปรียบเทียบของปีที่แล้วที่สูง และจำนวนวันทำงานในเดือนตุลาคมปีนี้น้อยกว่า แต่ถึงอย่างนั้น การชะลอตัวก็ยังชัดเจนอยู่ดีค่ะ
2. คนจีนไม่ช็อป! (ยอดค้าปลีก) ซบเซาต่อเนื่อง
ตัวเลขที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ "ยอดค้าปลีก" (Retail Sales) หรือการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ ตัวเลขนี้โตเพียง 2.9% ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า และเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 5 แล้ว นี่ถือเป็นสถิติการชะลอตัวที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 เลยทีเดียว
นี่คือปัญหาใหญ่ค่ะ เพราะในขณะที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน และตัวเลขการส่งออกของจีนเองก็เพิ่งหดตัวแบบเซอร์ไพรส์ไป (ซึ่งปกติจีนพึ่งพาการส่งออกเยอะ) พวกเขาจึงยิ่งต้องหวังพึ่ง "การบริโภคในประเทศ" หรือ "Domestic Demand" ให้มาช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขนี้กลับบอกเราว่า... คนจีนเองก็ยังไม่กล้าใช้เงิน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงซบเซามาก
3. การลงทุน "หดตัว" หนัก เพราะ "อสังหาฯ" ดิ่งเหว
และนี่คือตัวปัญหาที่หนักที่สุดค่ะ "การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร" (Fixed-Asset Investment) หรือพูดง่ายๆ คือการลงทุนใหญ่ๆ เช่น การสร้างโรงงาน, โครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญคือ "อสังหาริมทรัพย์" ตัวเลขนี้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี "หดตัว" ไปถึง 1.7%
สาเหตุหลักที่ดึงให้การลงทุนทั้งหมดติดลบ ก็คือการดิ่งลงอย่างต่อเนื่องของ "การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์" นั่นเองค่ะ
เจาะลึกวิกฤตอสังหาฯ: ยิ่งอุ้ม ยิ่งทรุด?
ถ้าจะเข้าใจว่าทำไมเศรษฐกิจจีนถึงสะดุด เราต้องมาดูแผลที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ นั่นคือ "ภาคอสังหาริมทรัพย์" ที่เข้าสู่วิกฤตมา 4 ปีแล้ว และยังไม่มีท่าทีจะฟื้นเลยค่ะ
ข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งออกมาพร้อมกัน ยิ่งตอกย้ำความเลวร้าย แม้เดือนตุลาคมจะเป็นช่วง "ฤดูการขาย" (Peak Season) ของอสังหาฯ จีน แต่ตลาดกลับทำผลงานได้ย่ำแย่มาก
ราคาบ้านใหม่ ใน 70 เมือง ลดลง 0.45% จากเดือนกันยายน ถือเป็นการลดลงที่ "แรงที่สุดในรอบ 1 ปี"
ราคาบ้านมือสอง ยิ่งหนักกว่า โดยลดลงถึง 0.66% ถือเป็นการ "ดิ่งลงที่เร็วที่สุดในรอบ 13 เดือน"
การที่ราคาบ้านดิ่งลงไม่หยุดแบบนี้ มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เลยค่ะ มันทำให้คนจีนที่เคยซื้อบ้านเพื่อ "เก็บความมั่งคั่ง" ไม่กล้าซื้ออีกต่อไป เพราะกลัวซื้อมาราคาก็ยิ่งลง คนลังเลที่จะซื้อบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ
นักวิเคราะห์จาก Pantheon Macroeconomics ถึงกับบอกว่า ภาคอสังหาฯ "ยังคงซบเซาอย่างหนัก" และปริมาณบ้านที่ล้นตลาดอาจต้องใช้เวลาอีกราว 1.5 ปี ถึงจะกลับเข้าสู่จุดสมดุล
ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมืองใหญ่ 3 แห่ง ทั้งปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ก็เพิ่ง "ผ่อนคลายกฎ" การซื้อบ้านครั้งใหญ่ไป แต่ดูเหมือนว่า... มันไม่ได้ผล
นักเศรษฐศาสตร์จาก Citigroup ชี้ว่า มาตรการกระตุ้นรอบนี้ได้ผลน้อยกว่ามาตรการเมื่อปีก่อนมาก เพราะ "รายได้ของครัวเรือนไม่เพิ่มขึ้น" และการขยายตัวของเมืองก็ช้าลง เขายังมองว่า "ตลาดยังไม่ถึงจุดต่ำสุด" และเราอาจจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่มั่นคงภายใน 1 ปีนี้
รัฐบาลจีนทำอะไรบ้าง? และเป้าหมาย 5% ยังไหวไหม?
พอเห็นตัวเลขทั้งการผลิต การบริโภค และการลงทุน พังทั้ง 3 ด้านแบบนี้ คำถามคือแล้วรัฐบาลจีนจะทำยังไงต่อ?
ตอนนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังพยายามแก้ปัญหาแบบแยกส่วนค่ะ
ด้านการลงทุน (Investment): รัฐบาลลงมือ "อัดฉีด" แล้ว โดยอนุมัติเงินกระตุ้นไปแล้ว 1 ล้านล้านหยวน (หรือประมาณ 141 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเราน่าจะเริ่มเห็นผลของเงินก้อนนี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ด้านการบริโภค (Consumption): นี่ยังเป็นจุดอ่อน รัฐบาลรู้ดีว่าต้อง "อุ้ม" ภาคครัวเรือนให้มากขึ้น มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่ารัฐบาลอาจจะขยายโครงการอุดหนุนจากแค่สินค้าอุปโภคบริโภค ไปยังภาคบริการด้วย แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจริงๆ เช่น การปฏิรูประบบการแบ่งปันรายได้และสวัสดิการสังคม ยังเป็นเรื่องระยะยาว
ด้านนโยบายการเงิน (ดอกเบี้ย): อย่าเพิ่งคาดหวังการลดดอกเบี้ยแรงๆ ค่ะ เพราะดูเหมือนว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) เพิ่งส่งสัญญาณว่าไม่ได้กังวลเรื่องการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวเท่าไหร่
คำถามสุดท้ายคือ... แล้วเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ตั้งไว้ "ประมาณ 5%" ในปี 2025 นี้ จะยังเป็นไปได้ไหม?
น่าแปลกใจว่า แม้ตัวเลขจะออกมาแย่ขนาดนี้ แต่เป้าหมาย 5% "ยังคงดูเป็นไปได้" โดยเฉพาะถ้าการส่งออกฟื้นตัวหลังจากที่จีนและสหรัฐฯ เพิ่งบรรลุข้อตกลงการค้ากันไปเมื่อเดือนตุลาคม (ซึ่งอาจทำให้ภาษีลดลง)
ปัจจุบัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์ (Consensus) ว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะโตได้ที่ 4.9% ซึ่งก็ถือว่าเฉียดเป้า 5% มากๆ ค่ะ
สรุปก็คือ เดือนตุลาคมเป็นเดือนที่น่าผิดหวังสำหรับเศรษฐกิจจีนค่ะ แผลเก่าอย่างอสังหาฯ ก็ยังไม่หาย แผลใหม่อย่างการบริโภคในประเทศก็ยังไม่ฟื้น แม้รัฐบาลจะพยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่การลงทุน แต่ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอที่จะดึงเครื่องจักรขนาดใหญ่นี้ให้กลับมาเดินหน้าเต็มกำลังได้ค่ะ
ที่มาเนื้อหาจาก.. เพจ Beauty Investor