จัดอันดับ 5 บิ๊กอสังหาฯ ในตลาดหุ้นไทย
SIRI กวาดกำไรมากสุด! ทะยาน 3.2 พันลบ.
.
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันรอบด้าน ทั้งภาวะเงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเป็นไปได้ยากขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโต
.
ครั้งนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปสำรวจ 5 บริษัทใหญ่ที่สุดในกลุ่มอสังหาฯ (เฉพาะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย) ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถสร้างผลกำไรในช่วงครึ่งแรกได้มากแค่ไหน และทิศทางช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
.
มาเริ่มกันที่ SIRI หุ้นอสังหาฯ ที่เคยอยู่ภายใต้การบริหารของนาย เศรษฐา ทวีสิน นายกคนที่ 30 ของประเทศไทย ก่อนจะโอนย้ายหุ้นไปยังลูกสาว โดยบริษัทเน้นการพัฒนาที่อยู่ในอาศัยในกลุ่มลักซ์ชัวรี ซึ่งปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการรวม 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท
.
ทั้งนี้ ครึ่งแรกปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,203 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 162% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า กำไรปกติในไตรมาส 3/66 จะโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เพราะยังมี backlog รอโอนมาก รวมถึงมีการเปิดโครงการ low-rise ใหม่จำนวนมาก ซึ่งบางส่วนโอนทันในไตรมาส
.
ขณะที่มีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษจากมูลค่าขายโครงการ Burasiri กรุงเทพกรีฑา ในส่วนที่โอนไปแล้วสูงกว่าเป้ที่บริษัท JV ตั้งไว้ ฝ่ายวิเคราะห์คงกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 5,532 ล้านบาท โต 29% จากปีก่อน ให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท
.
ถัดมา AP หนึ่งในผู้พัฒนาที่อาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 58 โครงการ มูลค่ารวม 77,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,023 ล้านบาท ลดลง 8.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดการณ์ว่า แนวโน้มยอดขายช่วงที่เหลือของปียังมีโอกาสเร่งตัวขึ้น ตามแผนเปิดโครงการใหม่ 40 โครงการ มูลค่า 55,900 ล้านบาท โดยการเปิดโครงการใหม่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/66 จํานวน 15 โครงการ มูลค่า 19,800 ล้านบาท และอีก 25โครงการ มูลค่า 36,100 ล้านบาท ในไตรมาส 4/66
.
ขณะเดียวกันยังมีโครงการเดิมที่มีมูลค่าคงเหลือขาย 87,000 ล้านบาท ในการขับเคลื่อนยอดขายสู่ประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ 54,000 ล้านบาท (Presale 7 เดือน คิดเป็น 52% ของเป้าปีนี้) ซึ่งมีโอกาสบรรลุได้ง่ายกว่าเป้าบริษัทที่ 58,000 ล้านบาท ให้คำแนะนำ Outperform ราคาสิ้นปี 2566 ที่ 15.50 บาท
.
สำหรับ LH อีกหนึ่งผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ผู้บริโภคคุ้นเคย โดยปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 34,960 ล้านบาท ขณะที่กำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,803.70 ล้านบาท ลดลง 31.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ส่วนแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์จากบริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดการณ์ว่า ปัจจุบันบริษัทมี backlog มูลค่า 2,450 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยครึ่งปีแรกยอดจองลดลง 43% สู่ระดับ 8,800 ล้านบาท กดดันรายได้ต่ำกว่าเป้า แม้ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าแนวโน้มยอดจองจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แต่การรับรู้รายได้จากคอนโดใหม่จะเกิดในปี 2569 ขณะที่โครงการแนวราบบางส่วนจะสามารถบันทึกรายได้ได้
.
ดังนั้นจึงปรับประมาณการรายได้ปี 2566 ลดลง 7% สู่ 35,236 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน และปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลงจาก 31.5% สู่ 31.1% รวมถึงประมาณการกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 7,038 ล้านบาท ลดลง 15.3% จากปีก่อน โดยกำไรไตรมาส 3/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/66 แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านไตรมาส 4/66 จะเป้นไตรมาสที่กำไรสูงสุด อีกทั้งยังจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ามาด้วย ยังให้คำแนะนำ Neutral ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 11 บาท
.
ส่วน SPALI ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,781 ล้านบาท ลดลง 14.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดการณ์ว่า การดำเนินงานจพดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก โดยมีลักษณะเป็นขั้นบันไดในไตรมาส 3/66 ไปถึงไตรมาส 4/66 โดยมีแรงส่งจาก Backlog แนวราบสิ้นไตรมาส 2/66 ที่รอรับรู้รายได้ปีนี้อีกราว 9,500 ล้านบาท, การขายโอนฯ แนวราบใหม่ที่มีกําหนดเปิดตัวครึ่งปีหลังจํานวน 26 โครงการ มูลค่า 25,700 ล้านบาท
.
รวมถึงส่งมอบ 1 คอนโดฯ ใหม่ Supalai สี่พระยา-สามย่าน มูลค่า 2.3 พันล้านบาท (ขาย 100%) ตลอดจนการขายสต๊อกคอนโดฯ พร้อมอยู่ที่มีมูลค่าเหลือขาย 15,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังรับรู้ส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วม (จากออสเตรเลีย) ซึ่งที่ผ่านมาจะสูงขึ้นในครึ่งหลังโดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี ให้คำแนะนํา Outperform ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 26.50 บาท
.
สุดท้าย PSH ซึ่งปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 6,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,690.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ส่วนครึ่งปีหลังนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีมุมมองว่า บริษัทมีแบ็กล็อกรอโอนน้อย และกําหนดการเปิดโครงการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/66 รวม 12 โครงการ จากทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าราว 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องการเปิดโครงการใหม่ที่จะได้หมดตามแผนหรือไม่ ตลอดจนการตอบรับที่ดีของยอดขาย และความสามารถในการโอนฯ ได้ทันมีมากน้อยเพียงใด โดยปรับคาดการณ์กําไรปี 2566 ลงเป็น 2.49 พันล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน และคงคำแนะนำ Underperform
