กระแสเงินสดอิสระ เครื่องมือสแกนกิจการ ของ Warren Buffett - BillionMoney
หากเราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ที่เน้นการถือหุ้นในระยะยาวแล้ว
การตรวจสอบงบการเงิน ของบริษัทที่เราจะนำเงินไปลงทุนนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ
โดยงบการเงินของบริษัท ประกอบไปด้วย
- งบแสดงฐานะการเงิน
- งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- งบกระแสเงินสด
แน่นอนว่าการสังเกตดู อัตรากำไรสุทธิ (NPM), อัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สิน (ROA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องดู
เพื่อตรวจสอบความสามารถในการทำกำไร ของบริษัทที่เราจะนำเงินไปลงทุน
แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญมาก
ที่นักลงทุนอย่างคุณ Warren Buffett ใช้ในการดูว่าบริษัทนั้นมีงบการเงินที่แข็งแกร่งจริง ๆ
หรือมีการตกแต่งทางบัญชี เพื่อหลอกลวงนักลงทุนที่ไม่ละเอียดรอบคอบกันแน่
นั่นก็คือ “กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow)”
แล้วกระแสเงินสดอิสระคืออะไร ? ทำไมคุณ Warren Buffett ถึงให้ความสำคัญกับเครื่องมือนี้ ?
BillionMoney จะมาสรุปให้ ในแบบฉบับง่าย ๆ
กระแสเงินสดอิสระ คือกระแสเงินสดที่คงเหลือ หลังจากที่บริษัทนั้นใช้จ่ายไปกับทุกกิจกรรมในการทำธุรกิจ ซึ่งรวมถึงเงินที่ใช้ลงทุนไปในธุรกิจด้วย
ดังนั้นถ้าบริษัทมีกระแสเงินสดอิสระ ที่มีมูลค่าเป็นบวกต่อเนื่องหลายปี แปลว่าบริษัทนั้นมีสุขภาพทางการเงินที่ดี
ซึ่งเราก็สามารถคำนวณหากระแสเงินสดอิสระได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ด้วยการนำเงินที่ธุรกิจได้มาจากกิจกรรมการดำเนินงาน มาหักด้วยรายจ่ายการลงทุน
ในการจะพิจารณา กระแสเงินสดอิสระนั้น อย่างแรกเราจะต้องรู้จักกับ งบกระแสเงินสดเสียก่อน
งบกระแสเงินสด ก็คือ งบที่บันทึกการเปลี่ยนแปลงของเงินสดทั้งหมด ที่ไหลเข้าและไหลออกจากบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย
- กระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน
- กระแสเงินสดจากการลงทุน
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
ซึ่งเราสามารถใช้ข้อมูลจาก งบกระแสเงินสด มาคำนวณหา กระแสเงินสดอิสระ ได้
ยกตัวอย่างการคำนวณแบบง่าย ๆ คือ
ในปี 2021 บริษัท A มีกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน 1,000,000 บาท
และมีรายจ่ายการลงทุน 400,000 บาท
แปลว่า บริษัท A จะมีกระแสเงินสดอิสระ อยู่ทั้งหมด 600,000 บาท
แล้วตัวเลขกระแสเงินสดอิสระนี้ มีความสำคัญอย่างไร ?
หลายครั้งที่บริษัทบันทึกผลกำไรและขาดทุน ที่ได้จากการประกอบธุรกิจ แต่กำไรที่บันทึกลงไปในบัญชี ก็เป็นแค่เพียงตัวเลขลอย ๆ เพราะบริษัทก็อาจจะยังไม่ได้รับเงินสดจริง ๆ แต่แค่ลงบัญชีเอาไว้ก่อน
และถ้าเราไม่ตรวจสอบ งบกระแสเงินสด และกระแสเงินสดอิสระอย่างละเอียด ก็อาจจะโดนตัวเลขเหล่านี้หลอกตาเอาได้
มีตัวอย่างจาก 2 บริษัท ซึ่งมีชื่อเสียงกระฉ่อนระดับโลก คือ Enron และ WorldCom
ที่ต่างก็มีประเด็นเรื่องการทุจริตทางบัญชี จนนำไปสู่การล้มละลายด้วยกันทั้งคู่
ถ้าเราพิจารณากำไรต่อหุ้นของทั้ง 2 บริษัท
เราจะพบว่า ในระหว่างปี 1997 ถึงปี 2000 Enron มีกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในระหว่างปี 1998 ถึงปี 2000 WorldCom ก็มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกัน
แต่เมื่อเราพิจารณา กระแสเงินสดอิสระต่อหุ้นในแต่ละปี ระหว่างปี 1997 ถึงปี 2000 เราจะพบว่า
ทั้ง 2 บริษัทมีตัวเลขกระแสเงินสดอิสระต่อหุ้นเป็นลบทุกปี
ซึ่งหมายความว่า ทั้ง 2 บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถเก็บเงินสดเข้าบริษัทได้เลย
จากตัวอย่างนี้เอง เราจะเห็นได้ว่างบการเงินนั้น สามารถถูกบิดเบือน หรือถูกตกแต่งทางบัญชีได้
แต่งบกระแสเงินสดอิสระนั้น ปลอมแปลงได้ยากมาก
เพราะเป็นการรายงานถึงเงินที่ไหลเข้าและไหลออก ของบริษัทอย่างละเอียด
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การตรวจสอบกระแสเงินสดอิสระนั้น จะช่วยให้เราเห็นถึงสัญญาณอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นของบริษัท ในอนาคตได้
โดยเราสามารถตีความได้ว่า
กระแสเงินสดอิสระของบริษัท ที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ว่า
- บริษัทไร้ความสามารถในการเก็บเงินจากลูกค้า
- บริษัทมีรายจ่ายจากการลงทุนมากเกินไป
- บริษัทมีการทุจริตทางบัญชีเหมือนอย่าง Enron และ WorldCom
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็คงพอจะเห็นความสำคัญ ของการตรวจสอบกระแสเงินสดอิสระแล้ว
เมื่อเราจะเลือกลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่งในระยะยาว
นอกจากที่เราจะต้องมองหาบริษัทที่มี NPM, ROA และ ROE ในระดับที่สูงแล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่เราควรตรวจสอบก็คือ กระแสเงินสดอิสระ ที่เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอด้วย
เพื่อที่เราจะได้ไม่โดนตัวเลขกำไรหลอกตาเอาได้..