ห้องเม่าปีกเหล็ก

SET ดิ่ง 18 จุด หวั่นศก.เข้าสู่ stagflation ให้พื้นฐานดัชนี 1,660 จุด

โดย อิคคิวซัง
เผยแพร่ :
60 views
SET ดิ่ง 18 จุด หวั่นศก.เข้าสู่ stagflation ให้พื้นฐานดัชนี 1,660 จุด
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะตลาดหุ้นไทย ว่า วันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย อยู่ที่ 1,687.17 จุด ปรับตัวลดลง 14.01 จุด หรือ -0.82% โดยหุ้น 5 อันดับที่กดดันดัชนีได้แก่ EA SCC SCB DELTA และ CPALL โดยระหว่างการซื้อขายดัชนีงไปต่ำสุดที่ 1,682.36 จุด หรือลดลงกว่า 18 จุด
.
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากราคาน้ำมันและราคาพลังงานอื่นๆเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าคาด
.
อย่างไรก็ตาม คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจำกัดจากความขัดแย้งในปัจจุบัน โดย SCBS คาดธปท.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 25 bspในครึ่งปีหลัง 65
.
ด้านโอกาสการลงทุน ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการ กลุ่มที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง การอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ด้านอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นถือว่าการผ่อนคลายข้อจำกัดล็อกดาวน์กิจกรรมการเดินทางทั้งในและระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดปี 2022
.
ดังนั้น วัฏจักรเศรษฐกิจจึงกำลังเปลี่ยนจากภาวะ reflation (สภาวะที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว เงินเฟ้อเริ่มเพิ่มขึ้น) สู่ภาวะ stagflation (สภาวะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ)
.
สำหรับกลยุทธ์ Q2/65 คาดว่า SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,780 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด โดยมีความเสี่ยง downside จากการปรับลดประมาณการกำไรใน Q2/65 แนะนำให้โฟกัสที่หุ้นเชิงรับ แนวโน้มมาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผลและหุ้นคุณภาพที่มีงบดุล และ free cash flow แข็งแรง คัดหุ้นเด่น ได้แก่ AOT BDMS CRC GULF และ PTTEP
.
โดยกลยุทธ์การลงทุน มองภาพรวมปี 65 เน้นไปที่ธีมมหภาคและจุลภาคประกอบด้วย
1) หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง (มาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ)
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ
3) หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผล
4) หุ้นคุณภาพ
.
โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเชิงรับเพื่อยึดหลักความระมัดระวังในช่วงที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงโดยเชื่อว่าหุ้น domestic ที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลแข็งแรงน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหนักกว่าหุ้น domestic นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูง โดยหุ้นเด่นได้แก่
.
AOT : เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้นจากแผนเดินหน้าสู่การเปิดประเทศ ขณะที่ Valuation น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าก่อนเกิด COVID-19 อยู่ 12%
.
BDMS : ทนทานความผันผวนของตลาดได้ดีและมีพื้นฐานแกร่ง โดยปี 65 คาดกำไรเติบโต 21%YoY จากจำนวนผู้ป่วย ทั้งไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย
.
CRC : คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในปี 65 จากยอดขายค้าปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว การขยายสาขาเชิงรุก และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและไม่มีการล็อกดาวน์
.
GULF : แนวโน้มกำไรขยายตัวต่อเนื่องจากกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่ IPP ที่มีความเสี่ยงต่ำด้านต้นทุนพลังงานและการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจ
ใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจดิจิทัล
.
PTTEP : ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ Brent +5.3%DoD WTI +5.2%DoD หลังตลาดกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัวจากการระงับส่งออกน้ำมันของบริษัท CPC ในคาซัคสถานซึ่งเสียหายจากพายุ
 
 

อิคคิวซัง