1) ตลาดหมีในอดีต :
1.1) Set Index ปรับตัวลงมาจาก 915 จุดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปี พ.ศ 2550 ลงมาทําจุดตํ่าสุดที่ 380 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 สาเหตุเนืองมาจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
2) ตลาดกระทิงในอดีต :
2.1) Set Index ปรับตัวขึ้นมาจาก 380 จุด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 ขึ้นมาทําจุดสูงสุดที่ 1,649 จุด เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ 2556 สาเหตุเนื่องมาจาก QE Effect
3) ตลาด Sideway หรือ Trendless ในอดีต :
3.1) Set Index แกว่งตัวอยู่ระหว่าง 1,600 จุด ถึง 1,200 จุด ตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ 2556 และมาสิ้นสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 ที่ Set Index = 1,561 จุด สาเหตุเนืองจากการลดวงเงิน QE ของธนาคารกลางของสหรํฐอเมริกา ปัญหาความขัดแย้งทางด้านการเมืองในประเทศไทย และการปรับ Fed Fund Rate ครั้งแรกในรอบ 9 ปี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี พ.ศ 2558
4) การคาดการณ์ตลาดกระทิงในอนาคต :
4.1) Set Index น่าจะเริ่มต้นเป็นภาวะกระทิงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 เมื่อ Set Index อยู่ที่ 1,561 จุด แล้วน่าจะไปสิ้นสุดภาวะกระทิง ที่ Set Index ประมาณ 5,000 จุด ในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 สาเหตุเนือ่งมาจาก Fed Fund Rate น่าจะปรับตัวจาก 1.00 - 1.25% ในปัจจุบันไปเป็น 3.75 - 4.00% ในช่วงปลาย ปี พ.ศ 2563 ในขณะเดียวกันกับที่การเมืองไทยมีความชัดเจนและมั่นคง เนื่องจากนายกประยุทธ์ได้ประกาศการเลือกตั้งทั่วไปประมาณเดือน พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2561 ประจวบกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีการพื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคต
5) การคาดการณ์ตลาดหมีในอนาคต :
5.2) Set Index ปรับตัวลงจาก 5,000 จุดมาเป็น 2,000 จุด ใน ปี พ.ศ 2564 เมื่อฟองสบู่โลกแตกเนื่องจากปัญหาหนี้สินในประเทศที่มีหนี้สินมากๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และ ฮ่องกง Fed Fund Rate ปรับตัวลงมาจาก 4.00 - 4.25% ลงมาอยู่ที่ 0.00-0.25% เหมือนเดิม เรียกว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ ตามวงจรชีวิตและวัฏจักรธุรกิจ ที่ได้เคยกล่าวถึงในโพสต์ก่อนๆ