สัญญาดิวตี้ฟรีสะเทือน ทอท. 'คิงเพาเวอร์' ชี้เดินธุรกิจต่อ 'ไม่คุ้ม'
- ทอท.นัดเจรจา "คิงเพาเวอร์" วันนี้ ถกปมยกเลิกดิวตี้ฟรี ตั้งคณะทำงานเจรจาหาแนวทางเหมาะสม ได้ข้อสรุปภายใน ส.ค.นี้
- เปิด 7 เหตุผลขอเยียวยา เผย ทอท.วิเคราะห์สถานการณ์ในมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว ไม่คำนึงถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง
- ด้าน ทอท.ย้ำปัญหานี้ไม่กระทบรายได้ เหตุรายได้จากคิงเพาเวอร์ คิดเป็น 17% ของรายได้รวม และยืนยันระหว่างนี้ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญามากกว่า 20%
- ขณะที่ “นิตินัย” รับภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน เดินหน้าทำธุรกิจต่อไม่คุ้ม ด้านราคาหุ้น AOT ร่วงต่ำสุดรอบ 10 ปี
บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผู้รับสัมปทานร้านสะดวกซื้อ (ดิวตี้ฟรี) ในสนามบิน 5 แห่ง ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ประกอบด้วย สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่และหาดใหญ่
ทั้งนี้ คิงเพาเวอร์ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องมาตั้งแต่เดือน ส.ค.2567 เริ่มค้างจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรัฐและยื่นขอเลื่อนชำระ 5 สนามบิน ซึ่งทำให้มีหนี้ค้างจ่าย ทอท.ข้อมูล เดือน ก.พ.2568 วงเงิน 4,000 ล้านบาท
รวมทั้งแม้หลังจากนั้นคิงเพาเวอร์จะทยอยชำระเงินค้างจ่ายให้ ทอท.แต่สถานการณ์ล่าสุดบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ทำหนังสือถึง ทอท.เกี่ยวกับผลกระทบสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาสนามบินสุวรรณภูมิ สัญญาสนามบินดอนเมือง และสัญญาสนามบินในภูมิภาค ประกอบด้วย ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่
นอกจากนี้ คิงเพาเวอร์ชนะการประมูลเมื่อปี 2562 ด้วยข้อเสนอวงเงินผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) 3 สัญญารวมกัน ปีแรกมูลค่ารวมสูงถึง 23,548 ล้านบาท ซึ่งหากแบ่งเป็นรายสัญญามีรายละเอียดดังนี้
1.กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) สนามบินสุวรรณภูมิ อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.2563 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2574 เสนอผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ปีแรก 15,419 ล้านบาท
2.กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่และหาดใหญ่ อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.2563 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2574 เสนอผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ปีแรก 2,331 ล้านบาท
3.กิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.2563 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2574 เสนอผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ปีแรก 5,798 ล้านบาท
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการ ทอท.เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2568 โดยระบุว่า จากการตีความในหนังสือไม่พบว่ามีข้อระบุถึงการขอยกเลิกสัญญา มีเพียงรายละเอียดผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก
รวมถึงผลกระทบโควิด-19 สถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ อีกทั้งยังระบุว่าในสภาวะที่เกิดขึ้น คิงเพาเวอร์ยังคงต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามที่เสนอไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงทำให้ต้องแบกรับต้นทุนดังกล่าว โดยมองว่าสัญญาของ ทอท.ไม่เป็นธรรม ดังนั้นคิงเพาเวอร์จึงต้องการหารือแนวทางแก้ไขปัญหาลดผลกระทบ

ทั้งนี้รายละเอียดในหนังสือของคิงเพาเวอร์ ได้ระบุถึง 7 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบด้วย
1.การยุติการดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า ตามนโยบายภาครัฐ ทำให้สูญเสียโอกาสการสร้างรายได้
2.การลดภาษีสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ยอดขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการภายในอาคารผู้โดยสารของ ทอท. เพื่อปรับปรุงบริการผู้โดยสาร
4.มาตรการเชิงรุกของรัฐที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
5.สถานการณ์ภายในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาลดลง
6.การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนผู้โดยสารเป็นศูนย์ในช่วงที่ผ่านมา
7.สถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ
“คิงเพาเวอร์ ชี้ว่า ทอท.วิเคราะห์สถานการณ์เหล่านี้ในมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการให้ ทอท.วิเคราะห์และเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระยะยาว ซึ่งเรื่องนี้ ทอท.ได้รับไว้พิจารณา และนัดหารือกับคิงเพาเวอร์ในวันนี้ (17 มิ.ย.)” นางสาวปวีณา กล่าว
นางสาวปวีณา กล่าวด้วยว่า ทอท.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และได้นำเสนอแนวทางต่อคณะกรรมการ ทอท. ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้ว โดยยืนยันว่า ทอท. จะไม่ยกเลิกสัญญาโดยง่าย ต้องหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันก่อน ซึ่งจะยึดเป้าหมาย ทอท.ต้องไม่เสียประโยชน์ และเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้รอบด้าน
ดังนั้น คณะกรรมการ ทอท.จึงมีมติตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหา และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาให้รอบด้าน ซึ่งคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะคัดเลือกจ้างที่ปรึกษาแล้วเสร็จ
สำหรับแนวทางการศึกษา จะครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป เบื้องต้นจึงคาดว่าภายใน ส.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปเพื่อแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน
ยืนยัน ทอท.ไม่ยกเลิกสัญญา
นางสาวปวีณา กล่าวว่า จุดยืนและมุมมองของ ทอท.ต่อกรณีนี้ชัดเจนว่า ไม่เคยอยากจะยกเลิกสัญญาใคร โดย ทอท.มองว่าสัญญาเชิงพาณิชย์ยืดหยุ่นได้ และปรับแก้เงื่อนไขสัญญาตามสถานการณ์อยู่แล้ว ซึ่งสัญญาคิงเพาเวอร์มีรายละเอียดแนบท้าย โดยหากมีเหตุสุดวิสัย เจรจาแก้ไขสัญญาได้
อย่างไรก็ดี ทอท. ยืนยันว่า การพิจารณาทุกทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการปรับแก้สัญญาหรือการยกเลิก จะต้องอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ของ ทอท. และผู้ถือหุ้น รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ทอท.ขอยืนยันว่าบริษัทฯ ยังมีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรง และยืนยันว่าส่วนแบ่งรายได้จากคิงเพาเวอร์ คิดเป็นเพียง 17% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งปี 2567 ทอท.มีรายได้รวม 6.3 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นรายได้จากคิงเพาเวอร์อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนค่าตอบแทนที่คิงเพาเวอร์ยังค้างชำระได้ครบกำหนดทยอยจ่ายคืนมาแล้วบางส่วน และพบว่ายังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา
ขณะเดียวกัน ช่วงการเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหา ทอท.ยืนยันว่าคิงเพาเวอร์ต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญากำหนดเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันคิงเพาเวอร์ในรูปแบบค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี ซึ่งมีอัตราการจ่ายสูงกว่ารูปแบบ จ่ายส่วนแบ่งรายได้ที่กำหนดในสัญญา 20% ของยอดขาย ดังนั้นยืนยันว่า ทอท.จะไม่เสียประโยชน์
ชี้เดินหน้าทำธุรกิจต่อ “ไม่คุ้ม”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2568 โดยระบุว่า การยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญานั้น ได้ดำเนินการมาก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
อย่างไรก็ดี จากการพิจารณาสาเหตุของการยกเลิกสัญญา ส่วนหนึ่งมาจากเงื่อนไขในปัจจุบัน หากยังคงทำธุรกิจต่อไปอาจไม่คุ้ม ส่วนการยกเลิกสัญญาต้องมีค่าปรับหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของ ทอท.ที่ต้องเป็นผู้พิจารณารายละเอียด
คาดเจรจาลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ
หุ้น ทอท.หรือ AOT ปรับลงทำราคาต่ำสุดในรอบ 10 ปี หลังคิงพาวเวอร์ ยื่น หนังสือถึง ทอท. ขอยกเลิกสัญญา ดิวตี้ฟรี สนามบินดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ จากผลกระทบโควิด เศรษฐกิจตกต่ำ สงครามกำแพงภาษีและนักท่องเที่ยวจีนหาย
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเป็นการส่งสัญญาณเพื่อขอเจรจาผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำระหว่าง คิงพาวเวอร์ และ AOT
เบื้องต้นประเมิน Downside หากมีการลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำไปเท่ากับปี 2562 (ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัันราว -56% และเป็นระดับที่เราคาดว่า คิงพาวเวอร์ น่าจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้)ประเมินราคา เป้าหมาย AOTจะอยู่ที่ 30 บาท
ทั้งนี้ ปี 2567 เราคาด AOTมีรายได้จากคิงพาวเวอร์ รวม 1.8 หมื่นล้าน คิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้รวม แบ่งเป็น Duty Free สุวรรณภูมิ 1.1 หมื่นล้านบาท พื้นที่เชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ 4.3 พันล้านบาท ขณะที่ Duty Free เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต 1.6 พันล้านบาท และ Duty Free ดอนเมือง 1.5 พันล้านบาท
หุ้น AOT มีความเสี่ยงสัมปทานต่อเนื่อง
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า AOT มีความเสี่ยงสัมปทานกดดันต่อเนื่อง ร่วงหนัก 7% จากเมื่อวันศุกร์ หลังมีข่าวความเป็นไปได้ในการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทาน
ดังนั้น ปรับลดประมาณการกำไรปี 2569 ลดลง 22% และ ลดลง 25-30% ระยะยาว จากการเปลี่ยนเป็น revenue sharing (ยกเว้นสุวรรณภูมิ) และจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด หากมีการเจรจาขยายไปยังสุวรรณภูมิ ราว 80-85% ของรายได้สัมปทานดิวตี้ฟรี) จะเป็นความเสี่ยงสำคัญ
“เราทำประมาณการกำไรปี 2569ของ AOT เดิมที่22,000 ล้านบาทเหลือ 17,000 ล้านบาท ลดลง 22% ถ้า revised สัญญา ท่าอื่น นอกเหนือ สุวรรณภูมิอาจเหลือ 14,000 ล้านบาท ลกลง 25-30% ในระยะยาว ถ้า revised ทุกสัญญา รวม สุวรรณภูมิเทียบจากปี 2568 ที่ เราทำคาดการกำไรไว้ที่ 17,000 ล้านบาท”
ดังนั้น ปรับลดคำแนะนำ เป็น “ขาย” ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 จากรายได้ดิวตี้ฟรีและเชิงพาณิชย์ที่ลดลง ราคาหุ้นปรับตัวลงแล้ว 41% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันขณะที่กรณีฐานราคาเป้าหมาย 27 บาท และ กรณี ดาวน์ไซด์ (downside ) หากมีการเจรจาสุวรรณภูมิ กำไรอาจลดเพิ่มอีก 16% ราคาเป้าหมาย อยู่ที่ 23 บาท
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1185132