สงครามไม่เคยจบแค่ในสนามรบ เมื่อทหารรับกระสุน แต่ประชาชนรับเงินเฟ้อ บทเรียนเรื่อง Hyperinflation หายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
.
เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันซ่อนตัวอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ราคาข้าวแกงยันค่าเช่าห้อง และถ้าไม่จัดการให้ดี มันสามารถบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศได้
.
แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเงินเฟ้อธรรมดา คือสิ่งที่เรียกว่า Hyperinflation ภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ที่ค่าเงินพังทลายอย่างควบคุมไม่ได้ ราคาสินค้าพุ่งขึ้นรายชั่วโมง เงินออมกลายเป็นกระดาษไร้ค่า และเศรษฐกิจทั้งประเทศพังในพริบตา
.
ฟังดูเหมือนนิยายดิสโทเปีย แต่สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นจริง ในประเทศเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และบทเรียนจากครั้งนั้น ยังเตือนเราได้เสมอว่า
.
“เงินอาจไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต แต่เมื่อมันหมดค่า… ทุกอย่างก็พังไปพร้อมกัน”

.
[ เมื่อชัยชนะของบางฝ่าย คือนรกของอีกฝ่าย ]
.
เป็นที่ทราบกันดีว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง สนธิสัญญาแวร์ซายที่ถูกเซ็นในปี 1919 นานาชาติร่วมกันโยนความผิด ตัดสินให้จักรวรรดิเยอรมันเป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ก่อสงคราม ส่งผลให้เยอรมนีต้อง
.
- สูญเสียดินแดนราว 13% ของประเทศ
- สูญเสียประชากรราว 1 ใน 10
- ถูกจำกัดจำนวนทหารให้เหลือแค่ 100,000 นายและห้ามเกณฑ์ทหารเพิ่ม
- ถูกริบอาวุธสงคราม
- และต้องชำระ “ค่าปฏิกรรมสงคราม” มหาศาล
.ภาระหนี้ครั้งนั้นหนักหนาจนเยอรมนีเพิ่งชำระงวดสุดท้ายได้ในปี 2010 หรือเกือบ 100 ปีให้หลัง
.
[ Hyperinflation ฝันร้ายที่แบงก์ทุกชาติกังวล ]
.เมื่อปี 1914 รัฐบาลเยอรมันยกเลิกระบบเงินตราที่มีทองคำหนุนหลัง เพื่อพิมพ์เงินออกมาสู้สงคราม ด้วยความหวังว่าชัยชนะจะช่วยโยนภาระค่าใช้จ่ายให้ฝ่ายแพ้
.แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เมื่อพ่ายแพ้สงครามเยอรมันนีก็เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
.ตามสัญญาสงบศึก เยอรมันต้องชดใช้คิดเป็นเงินกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุเพราะประเทศฝ่ายชนะสงครามต้องการ “หักเขี้ยวเล็บ”
.หลังแพ้สงคราม เยอรมันถูกเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็น “สาธารณรัฐไวมาร์” (Weimarer Republik)
.สาธารณรัฐไวมาร์ หรือ เยอรมัน เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) กล่าวคือ ภาวะที่ราคาของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อจะสูงกว่า 50% ต่อเดือน ทำให้มูลค่าของเงินลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
.
ทำไม Hyperinflation ถึงเกิดขึ้นหลังสงคราม?
.- รัฐบาลใช้จ่ายหนักหน่วง หลังสงคราม รัฐบาลต้องใช้เงินมหาศาลในการฟื้นฟูประเทศ ซ่อมแซมความเสียหาย และจ่ายหนี้สงคราม จนเงินไม่พอ
.- พิมพ์เงินไม่อั้น ทางออกที่ง่ายที่สุด (แต่หายนะที่สุด) คือการ "พิมพ์เงิน" ออกมาใช้หนี้และใช้จ่าย เมื่อมีเงินในระบบเศรษฐกิจมากเกินไป มูลค่าของเงินก็ลดลง เหมือนน้ำที่ล้นแก้ว มันก็ไม่มีราคา
.- ความเชื่อมั่นที่หายไป เมื่อคนเริ่มเห็นว่ารัฐบาลพิมพ์เงินไม่หยุด และค่าเงินร่วงเอาๆ ผู้คนก็เริ่มไม่เชื่อมั่นในค่าเงิน ทุกคนพยายามจะใช้จ่ายเงินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่มันจะไร้ค่าลงไปอีก ความต้องการสินค้าจึงสูงขึ้นไปอีก ทำให้ราคายิ่งพุ่งกระฉูด กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หยุดไม่อยู่
.ข้อมูลจาก Britannica ระบุว่า รัฐบาลต้องพิมพ์ธนบัตรมูลค่าล้านมาร์ก จากนั้นจึงพิมพ์เป็นพันล้านมาร์ก และในเดือนพฤศจิกายน 1923 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าเทียบเท่ากับ หนึ่งล้านล้านมาร์ก (trillion marks)
.Hyperinflation ในครั้งนั้น ทำให้ “มาร์คเยอรมัน” แทบไม่ต่างจากกระดาษไร้ค่า ใช้จ่ายอะไรไม่ได้
.มีเรื่องเล่าที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนั้นคือ
“รถเข็นที่เต็มไปด้วยเงินยังซื้อหนังสือพิมพ์ไม่ได้”
.สั่งกาแฟถ้วยแรกในราคา 5,000 มาร์ค พอจะสั่งถ้วยที่สอง ราคาก็ขึ้นไปเป็น 7,000 มาร์ค (พุ่งขึ้น 40%) เพียงไม่กี่นาทีให้หลัง
.สินค้าแพงขึ้นทุกชั่วโมง เกษตรกรไม่ยอมขายของ คนกรุงบุกปล้นฟาร์ม กฎหมายพัง ประชาธิปไตยล่ม ความสิ้นหวังปูทางให้ผู้คนเชื่อและยอมรับ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ผู้นำหัวรุนแรง และสงครามโลกครั้งที่ 2
.
[ ผลกระทบต่อประชากร ]
.ในยุคที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แลกหลักล้านล้านมาร์คเยอรมัน นั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะย่ำอยู่กับที่ เพราะในวิกฤตที่แสนโหดร้าย ยังมีคนที่ “รอด” และบางคนถึงขั้น “รวยขึ้น” ได้ ในขณะที่คนอีกกลุ่มกลับสูญสิ้นทุกสิ่งอย่างไม่มีทางถอย
.ข้อมูลจาก BBC UK ได้รวบรวมข้อมูลในช่วงนั้นและรายงานว่า
.
ผู้ที่รอด หรือแม้แต่ ‘ได้ประโยชน์’ จากวิกฤต
.
1. ลูกหนี้ จ่ายหนี้ด้วยเศษกระดาษ
นักธุรกิจบางคนกู้เงินมาซื้อกิจการ พอเงินเฟ้อพุ่งทะลุฟ้า สิ่งที่เคยเป็นหนี้มหาศาลก็กลายเป็นเงินปึกหนึ่งที่ใช้ซื้อกาแฟยังไม่พอ นั่นเท่ากับว่า พวกเขาจ่ายหนี้หมดได้ด้วยเงินที่แทบไม่มีค่า
.
2. คนที่ได้เงินเป็นวัน ปรับตัวทัน ถ้าทนไหว
แรงงานรายวันหรือพนักงานที่สามารถเจรจาค่าแรงใหม่ได้แทบทุกวัน ยังพอประคองตัวไหวในช่วงแรก เพราะค่าจ้างสามารถ “อัปเดตแบบเรียลไทม์” ให้ตามราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งได้ แต่เมื่อทุกอย่างวิ่งเร็วเกินไป แม้แต่คนทำงานก็เริ่มหมดแรงไล่ตาม
.
3. เกษตรกร มีของก็ยังพออยู่ได้
ในวันที่เงินสดไม่มีความหมาย ผลผลิตที่กินได้กลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เกษตรกรจึงอยู่รอดได้ เพราะไม่ต้องพึ่งพาเงินในการเอาชีวิตรอดมากนัก ข้าว ผลผลิต วัว หมู ผัก ทั้งหมดคือ “สกุลเงินใหม่” ที่ยังมีค่ากับคนหิวโหยทั่วประเทศ
.
ผู้ที่พัง เพราะเงินไม่ใช่เงินอีกต่อไป
.
1. คนมีรายได้คงที่
ข้าราชการ คนที่รับเงินเกษียณ หรือผู้ป่วยที่พึ่งพารายได้จากเงินบำนาญหรือเงินสนับสนุนแบบรายเดือน กลายเป็นกลุ่มที่เจ็บปวดที่สุด เพราะรายรับ “ไม่สามารถต่อรองได้” ในขณะที่ค่าครองชีพกลับพุ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว ซื้อของเมื่อวานได้เต็มถุง วันนี้อาจได้แค่เศษผักไม่กี่ใบ
.
2. เจ้าหนี้และผู้มีเงินออม จากเศรษฐีสู่คนไร้ค่าในพริบตา
ลองจินตนาการว่าคุณเก็บออมเงินทั้งชีวิตไว้ในธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรเพื่อหวังดอกเบี้ย แต่ตื่นขึ้นมาอีกวัน เงินเหล่านั้นกลายเป็นกระดาษที่ใช้แทนฟืนยังไม่คุ้ม นี่คือชะตากรรมของเจ้าหนี้ทั้งประเทศ เงินออมพังทลาย และไม่มีสิ่งใดสามารถชดเชยได้
.
สรุป: บทเรียนจากเยอรมนีเมื่อเกือบร้อยปีก่อนบอกกับเราไว้ว่าเศรษฐกิจที่พังมักลงมาทับ “คนชั้นกลาง” ก่อนเสมอ และเมื่อผู้คนไม่สามารถเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัว หรือมีความหวังในอนาคตได้ ความหิว ความกลัว และความโกรธ คือเชื้อไฟจุดชนวนสงครามที่อาจนำพาโลกไปสู่ความโกลาหล
.
ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลจาก.. aomMONEY