หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกฟันธง 14 หุ้นน่าช้อป เก็งกำไรงบ 1Q65 TNN Wealth
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 21 เม.ย. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวได้ต่อ จากการรีบาวด์ทางเทคนิค-ผลการดำเนินงานกลุ่มแบงก์เป็นปัจจัยหนุน โดยภาพรวมมองดัชนี upside จำกัดบริเวณ 1,700 จุด เหตุยังเผชิญ Stagflation- นโยบายการเงินที่ตึงตัว เก็งกำไรระยะสั้นกลุ่มหุ้นที่คาดงบ 1Q65 แข็งแกร่ง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนเมื่อวานนี้ SET Index ปิดปรับตัวสูงขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงเก็งกำไรผลประกอบการนำโดยกลุ่มธนาคารที่งบการเงินของ TISCO และ KKP ออกมาใกล้เคียงถึงดีกว่าคาดเล็กน้อย นำไปสู่การเก็งกำไรในหลักทรัพย์อื่นในกลุ่มเป็นผลให้ดัชนี SET Bank ปรับตัวขึ้น 2.9% ชดเชยการปรับตัวลงของกลุ่มพลังงานต้นน้ำที่ถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงในวันก่อน
ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนจากการประกาศผลประกอบการเช่นกัน Dow Jones ปิดปรับตัวขึ้นจากการรายงานผลประกอบการกลุ่มของกลุ่ม Value Play ที่ดี ส่วนNasdaq ปรับตัวลดลงจากปัจจัยเฉพาะตัวคือหุ้น Netflix ที่ปรับตัวลดลงกว่า 35%
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตุการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่สำคัญวานนี้คืออัตราผลตอบแทนสหรัฐฯ US10YY ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 สู่ระดับ 2.84% สะท้อนการไหลเวียนของกระแสเงินทุนเข้าสู่ตลาดพันธบัตรหลังการคาดการณ์เงินเฟ้อจะผ่านจุดต่ำสุดในเดือน มี.ค.-เม.ย. และคาดตลาดพันธบัตรได้ตอบรับเชิงลบต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไปมากแล้วหลัง Fed Fund Future แสดงการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2565 ที่ 2.75-3.00%
ส่วนการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์อื่นออกไปในทิศทางทรงตัว ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 107 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาทองคำปิดบวกอ่อนๆ ที่ระดับ 1,957 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
สำหรับประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคือการปราศรัยของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงคืนวันนี้ โดยตลาดคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมจำนวน 2 ครั้ง และ วางแผนการลดงบดุลแตะระดับ 9.5หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ภายใน 3 เดือนหลังการประชุม FOMC ในวันที่ 4 พ.ค.
เราคาด SET Index วันนี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,675-,1685 จุด หลังเกิด Technical Rebound มาแล้วในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังให้น้ำหนักเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นที่คาดผลประกอบการ 1Q65 แข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล
หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัว นำโดย BAM ราคาหุ้นมีปัจจัยบวก ได้แก่ 1) คาดกำไรสุทธิ 1Q65 เติบโตสูง YoY 2) เงินปันผลช่วยจำกัด Downside ในระยะสั้น ขึ้น XD หุ้นละ 0.55 บาท วันที่ 29 เม.ย. ให้ Yield 2.7%
คงมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรปี 2565 คาดเติบโต +15% YoY เป็น 2.9 พันลบ. จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดของ COVID แล้วในปีที่ผ่านมา ขณะที่ Valuation มี Upside หากแผนจัดตั้ง JVAMC กับสถาบันการเงินเกิดขึ้น เนื่องจากซื้อขายที่ PBV 1.5 เท่า เทียบกับ JMT, CHAYO ที่ 6 เท่า และ 5 เท่าตามลำดับ
หุ้นเด่นถัดมาคือ MBK เราคาดว่าตลาดจะมองหาหุ้น Laggard ที่ราคายังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิด COVID โดย อิงราคาสิ้นปี 2562 พบว่า MBK ยัง -42% เทียบกับหุ้นในกลุ่มศูนย์การค้า, ค้าปลีก เช่น CPN +0.8%, CRC -1.8%, HMPRO +0.6%, GLOBAL +41%
คาดผลประกอบการผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วในปี 2564 ที่ผ่านมา และทุกธุรกิจเข้าสู่การฟื้นตัว เช่น ศูนย์การค้า, โรงแรม และสนามกอล์ฟ ซื้อขายที่ PBV เพียง 1.1 เท่า เทียบกับ CPN 3.8 เท่า, CRC 4.4 เท่า, HMPRO 9.2 เท่า, GLOBAL 5.6 เท่า
หุ้นเด่นอีกตัวคือ KTC รายงานกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.74 พันลบ. เติบโต +7% YoY และ +40% QoQ ดีกว่าคาดของตลาด จากการตั้งสำรองที่ลดลง 43% QoQ ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ขณะที่ Coverage Ratio เร่งตัวขึ้นเป็น 304% จากไตรมาสก่อนที่ 292%
กำไร 1Q65 คิดเป็น 24% ของคาดทั้งปีที่ 7.2 พันลบ. (+23% YoY) แนวโน้มกำไร 2Q65 คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง และเริ่มนำ Cash Card มาให้บริการกับกลุ่มลูกค้าจำนำทะเบียนรถเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า
หุ้นเด่นสุดท้าย VNG ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 7.80 บาท แนวรับ 7.50 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 7.25 บาทปัจจัยหนุน ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินบาท และการเติบโตของยอดส่งออกไปยังตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า การระบาดของ Covid-19 ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา สร้างภาระต่อฐานการ คลังโดยระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับขึ้นจากบริเวณ 42% ไปสู่ระดับ 60% ทำให้ต้องปรับเพิ่มกรอบระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จาก 60% เป็น 70% ประเมินหน้าตักในการก่อหนี้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจปัจจุบันน่าจะสามารถ ทำได้ว่าราว 1 ล้านล้านบาทเศษ ทำให้การจัดสรรการใช้เม็ดเงินต้องพุ่งเป้าไป ที่การเติบโตต่อเศรษฐกิจในระยะกลาง-ยาวมากขึ้น ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะ มุ่งเน้นไปใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ การกระตุ้น ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในเชิงกลยุทธ์การลงทุน จึงกำหนด Theme ไปในทาง หุ้นเปิดเมืองอย่างท่องเที่ยว และ หุ้น Infrastructure Play คาดว่า SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1675 – 1690 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ ไม่มีการปรับเปลี่ยน โดยยังให้ถือเงินสดสำรอง 5% เพื่อรอจังหวะวื้อ สำหรับ หุ้น Top Pick เลือก AOT, BH และ THREL
หุ้นเด่นตัวแรกคือ THREL ราคาเป้าหมาย 7 บาท ภาพรวมธุรกิจจะฟื้นตัวชัดเจนในปี 2565THREL เป็นผู้นำธุรกิจรับประกันชีวิตต่อในไทย ที่มีศักยภาพการเติบโต สอดคล้องกับอุตสาหกรรมประกันชีวิต มีโดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆและช่องทางการขายให้ลูกค้าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังเริ่มขยายธุรกิจรับประกันภัยต่อไปต่างประเทศ หนุนการเติบโตในระยะยาวด้วยคาดกำโรสุทธิปี 2565 จะฟื้นตัวถึง 119% yoy จากแนวโน้มเคลมประกันที่เกี่ยวข้องกับโควิดลดลง
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิงวด 1Q65 จะฟื้นตัว ทั้ง QoQ และ YOY จากธุรกิจรับประกันชีวิตต่อฟื้นตัวกำหนด Fair value ปี 2565 เท่ากับ 7 บาท อิง PBV 2.7เท่า โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า THREL มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว สามารถคาดหวัง Div Yields ได้ราว4-5% ต่อปี
หุ้นอีกตัวคือ AOT ราคาเป้าหมาย 69.60 บาท Downside จำกัด น่าสะสมรอรับการฟื้นตัวในอนาคตศบค.เปิดแผนคุมโควิด ระยะ 2 เห็นชอบในหลักการปรับระUU Thailand pass-Test & Go ใหม่ให้ผ่อนคลายลง
เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น เล็งลดเงินประกันภัยเพื่อช่วยให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน หากเป็นไปในรูปแบบดังกล่าวเชื่อหนุนช่วงที่เหลือดีขึ้นเป็นลำดับ และมีโอกาสที่จะดีขึ้นกว่าสมมติฐานจำนวนผู้ใช้บริการต่างประเทศที่ฝ่ายวิจัยกำหนดฟื้นตัวในปีบัญชี2565 ราว 20% ของช่วงก่อน COVID ซึ่งจะหนุนขาดทุนปีบัญชี 2565 ดีกว่าคาดว่าจะ ลดลง 63% และฟื้นมีกำไร1.31 หมื่นล้านบาทในปีบัญชี 2566ราคาหุ้นปัจจุบันยัง Laggard SET Index อยู่มาก คงคำแนะนำ ซื้อ ถือเป็นโอกาสสะสม
ปิดท้ายด้วยหุ้น BH ราคาเป้าหมาย 190 บาท หุ้นเด่นยาม COVID กลับมาแนวโน้มกำไรของ BH ในงวด 1Q65 คาดจะเติบโต YoYและ Q๐Q หลักๆมาจาก การฟื้นตัวของฐานลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม Fly-In นับตั้งแต่การเริ่มการมาเปิด Test&Go อีกครั้งในรอบ ก. พ. ที่ผ่านมา และแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2565-66 เฉลี่ยปีละ 80%จากผู้ป่วยต่างชาติกลุ่ม Fly-in ที่สามารถคาดหวังได้ต่อเนื่อง จากการยกเลิกระบบ Thailand Pass กล่าวคือ
การเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ (เหมือนปี2562) คาดเริ่มมีผลช่วง มิ.ย. - ก.ค.
ถือว่าหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัฐเซีย - ยูเครน อย่างจำกัด กล่าวคือ BH มีมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยจากประเทศรัสเซียเพียงราว 0.2-0.3% ของรายได้รวม ส่วนด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยมองว่ากลุ่มรพ.มีความสามารถในผลักภาระต้นทุนดังกล่าวให้กับผู้บริโภคได้ในระดับนึง
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ในกรอบแนวรับ 1,670 จุด และแนวต้าน 1,690 จุดเน้นหุ้นแนวโน้มกำไรขยายตัว
โดย หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ KBANK รายงานกำไร 1Q65 ที่ระดับ11,210 ล้านบาท ดีกว่าคาด 7% แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยขยายตัวขึ้น ในขณะที่การกัน
สำรอง และ NPL ทรงตัว QOQผสานกับ Valuation ที่เทรดเพียง PBV 0.74 เท่า และ PE ที่9เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่แพงรวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ในประเทศ จะเป็นปัจจัยหนุนความน่าสนใจสะสมมากขึ้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 185 บาท
หุ้นเด่นอีกตัวคือ BDMS คาดกำไรหลัก 1Q65 จะเพิ่มขึ้น11% QOQ และ 119% YoY เป็น2.9 พัน ลบ. หนุนโดยรายได้จากโควิดที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6 พัน
ลบ. หรือประมาณ 16% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสนี้ผสานการเตรียมเปิดประเทศมากขึ้นในช่วงถัดไป คาดจะหนุนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติปรับเพิ่มมากขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 28 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET ยังฟื้นตัวได้ต่อ จากการรีบาวด์ทางเทคนิค และผลการดำเนินงานกลุ่มแบงก์ เป็นปัจจัยช่วยหนุนดัชนี แนวต้านอยู่ที่ 1,688 และ 1,695 จุด แต่ในภาพรวม มองดัชนีจะมี upside ที่จำกัดบริเวณ 1,700 จุด เนื่องจากยังเผชิญปัจจัยลบหลัก เรื่อง Stagflation และนโยบายการเงินที่ตึงตัว ด้านแนวรับอยู่ที่ 1,674 และ 1,665 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบ
หุ้นเด่นวันนี้ GFPT (ราคาเป้าหมาย 17.50 บ.) คาด 1Q65 กำไรเติบโตดีสุดในกลุ่มอาหาร และยังมีโมเมนตัมดีต่อเนื่องใน 2Q65 จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น
หุ้นเด่นถัดมาคือ KBANK (ราคาเป้าหมาย 173.00 บ.) ซึ่ง 1Q65 คาดกำไรเติบโต 5%YoY และ 13%QoQ จากการขยายตัวของสินเชื่อ ส่วนทั้งปี 65 คาดกำไรฟื้นตัวได้ดี 16%YoY อีกทั้งมองได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยเข้าสู่ขาขึ้น และมีความเสี่ยง Downside ต่อคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่จัดการได้
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,670-1,690 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ BH ราคาปัจจุบัน 164.50 บาท เป้า 180 บาทหุ้นตัวต่อมาคือ BLA ราคาปัจจุบันที่ 44.50 ราคาเป้าหมาย 49 บาท และหุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ EPG ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 9.55 และราคาเป้าหมายที่10.50 บาท
ที่มา : บล.หยวนต้า, บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย
ภาพประกอบข่าว : AFP, TNN Online,พิกซาเบย์