ความเสี่ยงของตลาดเข้าสู่จุดที่ "เป็นกังวล"
23 ม.ค. 2561 / 13.56 น.
โดย Wattana Stock page
จั่วหัวมาแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า ดัชนีนั้นอยู่ในระดับที่ "สูงเกินไป" นะครับ เพราะในความเป็นจริงแล้ว การที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นหรือว่าจะปรับตัวลงนั้น สำหรับนักเล่นหุ้น ความเสี่ยงก็อยู่แค่ว่า มีโอกาสที่จะขาดทุนก็เท่านั้น
และการเล่นหุ้นโดยปกติทั่วไปนั้น ถ้านักลงทุนจะขาดทุน เต็มที่มากที่สุดก็แค่ "หมดตัว"
เราอาจมองว่า คนที่จะต้องกังวลในเรื่องของ "ความเสี่ยง" ของตลาดนี้ มีเพียงแค่นักลงทุนเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ใช่เลย
ในภาวะปัจจุบันที่โบรกเกอร์ต่างๆ ต่างแข่งขันกันลดค่าคอมมิชชั่นเพื่อแย่งชิงลูกค้า และเท่าที่รู้มา บางโบรกเกอร์ยอมลดราคากันจนเหลือ ล้านละ 700 บาท ไม่เว้นว่าจะเป็นโบรกที่วางตัวระดับกลางๆ หรือแม้แต่โบรกที่วางตัวว่าเป็นระดับ "พรีเมี่ยม"
การแข่งขันแบบยอมสู้จนไม่สนว่าต้นทุนของตัวเองเป็นเช่นไร นำมาซึ่งความหายนะในธุรกิจนายหน้าค้าหุ้น ซึ่งถ้าไปเปิดงบการเงินดู จะเห็นเลยว่า ค่าคอมเฉลี่ยของแต่ละโบรกนั้น ปรับตัวลงมา จนแทบจะหากำไรจากการเป็นนายหน้าไม่ได้อีกแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้โบรกยังคงอยู่รอดได้ นั่นก็คือ การทำธุรกิจอื่นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวาณิชธนกิจ ที่ปรึกษาการเงิน การซื้อขายเพื่อบัญชีบริษัท (prop trade) การขายหุ้นกู้ และการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆที่จะสามารถ หากำไรมาโปะขาดทุนจากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่แข่งกันดุเดือดให้ได้
ผลิตภัณฑ์ต่างๆโดยทั่วไปของตลาดหลักทรัพย์ และตลาดอนุพันธ์นั้น หากมีแต่นักลงทุนเข้ามาเล่น ความเสี่ยงจากการขึ้นลงของตลาด มันก็อยู่กับนักลงทุน โบรกจะมีความเสี่ยงน้อยมาก โดยความเสี่ยงหลักของโบรกเกอร์ก็จะมาจาก การที่ลูกค้าเล่นสัญญาอนุพันธ์แล้วขาดทุนจนต้อง "เป็นหนี้"
แต่การที่โบรกเกอร์จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลก เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมให้ดำรงอยู่ได้ในการประกอบธุรกิจนั้น ทำให้โบรกต้องมา
1. เทรดหุ้นเอง
2. ออกผลิตภัณฑ์ที่เอาตัวเองเข้าไปแลกกับความเสี่ยง เช่น DW
3. เพิ่มความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่ผันผวนจากการเป็นคู่สัญญา block trade กับลูกค้า
ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า จากเดิมที่โบรกทำหน้าที่เป็นเพียงแค่นายหน้า ตัวกลาง ปัจจุบัน โบรกเกอร์ลงมาเป็น "ผู้เล่น" ที่ต้องมีสถานะในหุ้น หรือสัญญาฟิวเจอร์สอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การบริหารความเสี่ยงของโบรกเกอร์ ไม่ได้ดูเป็นแต่ละผลิตภัณฑ์ไป แต่เป็นการดูภาพรวมของทั้งบริษัท และเป็นการมองภาพรวมทั้งระบบของตลาดหุ้นของไทย
ข้อมูลที่ผมได้รับทราบมา ขณะนี้ มูลค่าของการเป็นคู่สัญญา block trade ของทั้งระบบนั้น สูงถึง 6 หมื่นล้านบาท!!!! นี่กำลังเป็นเรื่องโบรกเกอร์ให้ความกังวลอย่างมาก
จริงอยู่ว่า การทำ block trade นั้น โบรกเกอร์จะมีการ "ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน" เอาไว้อยู่แล้ว มองในมุมนี้ โบรกเกอร์ไม่น่าจะมีความเสี่ยงอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่
เราต้องไม่ลืมว่า การทำ block trade นั้น เป็น zero sum game ที่แท้จริง เพราะโบรกเกอร์จะต้องเป็นคู่สัญญากับเรา แต่เขาไปปิดความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นแม่ในกระดาน (หรือขายหุ้นแม่ถ้าเป็นการเปิด short ของลูกค้า แต่ไม่ค่อยมีเท่าไหร่)
ลองนึกภาพตามว่า ถ้า "หุ้นลง" นักลงทุนจะขาดทุน แต่โบรกเกอร์จะได้กำไรจากสัญญา block trade ที่เปิดกับนักลงทุน แต่ก็จะไปขาดทุนจากหุ้นแม่ที่ซื้อไว้อยู่ดี
แล้วถ้าลูกค้า "หมดตัว" จนเป็นหนี้ล่ะ โบรกเกอร์จะเอากำไรจากไหน??
นั่นล่ะครับ คือสิ่งที่โบรกเกอร์หลายแห่งเริ่ม "กังวล" กับธุรกรรม block trade ที่เพิ่มขึ้นอย่าง "น่าใจหาย"
แต่ผมเองก็ไม่อยากจะซ้ำเติมโบรกเกอร์นะ คุณมากังวลเรื่องความเสี่ยงของ block trade ในเวลานี้ แล้วใครล่ะ ที่เป็นคนเปิด block trade กับลูกค้า ก็ไม่ใช่โบรกเกอร์หรอกหรือ
โบรกเกอร์หลายแห่งมีความภาคภูมิใจที่ตนเองสามารถหารายได้จาก block trade ได้ เพราะตนเองมีต้นทุนทางการเงินอาจจะราว 3% กว่าๆ แต่มาปล่อยกู้ block trade ได้ถึง 7-8% แล้วก็กระหยิ่มว่า ตนเองเป็น "เสือนอนกิน" ได้กำไร 4 - 5%
ส่วนตัวผมมองว่า block trade เป็นธุรกรรมของโบรกเกอร์ที่ "หมดหนทางหากิน" ไม่รู้จะเอาเงินไปพัฒนาธุรกิจอะไรของตนเองได้แล้วมากกว่า
พอตัวเลข block trade ทั้งระบบมันสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ก็ทำให้โบรกเกอร์เริ่มหันมามองตัวเองว่า "กูทำอะไรลงไป" ถ้าตลาดเกิดระเบิดตู้มเป็นโกโก้ครันช์ขึ้นมา ความพินาศจะมาเยือนขนาดไหน
จริงอยู่ว่า ในทางทฤษฏี โบรกเกอร์ไม่ได้ขาดทุน แต่หากลูกค้าติดหนี้แล้วไม่จ่าย โบรกเกอร์จะไปเอากำไรจากธุรกรรม block trade จากใคร??
แล้วต้องไม่ลืมว่า block trade ปริมาณมหาศาลขนาดนั้น ใครขายก่อนไม่ขาดทุน ลูกค้าของโบรกไหนขายไม่ทัน นั่นคือหายนะทันที
นั่นจึงทำให้โบรกเกอร์บางแห่ง ตัดสินใจ "ขึ้นหลักประกัน SSF" ให้สูงกว่าที่ตลาดอนุพันธ์กำหนด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดปรับตัวลงแรง
แน่นอนว่า "เสียลูกค้า" สิครับ เพราะลูกค้าก็หนีไปโบรกอื่น แต่โบรกนั้นเขาบอกเลยว่า ใครอยากรับก็รับไป เพราะว่าเขารับความเสี่ยงไม่ไหวจริงๆ
พอได้ข้อมูลลักษณะนี้มา ผมจึงได้มาเรียบเรียงและทำความเข้าใจได้แล้วว่า อ้อ ที่ปัจจุบันมันมีปัญหาเกี่ยวกับ DW มากมายในเวลานี้ และทำให้มีคนส่ง message เข้ามาหาผมเยอะแยะ นั้นมันมีส่วนมาจากอะไร??
อย่างที่บอกไปว่า การบริหารความเสี่ยงของโบรกเกอร์นั้น เขาบริหารเป็นภาพรวม เมื่อตอนนี้เขากังวลเกี่ยวกับ block trade ว่ามันอาจทำให้โบรกเกอร์เสียหายเวลาลูกค้าไม่มีเงินจ่าย และ block trade ปริมาณขนาดนี้ หากเกิด panic และพร้อมใจกันปิดสถานะ ตลาดมันจะลดลงมาได้มากขนาดไหน
การบริหาร DW ของโบรกเกอร์ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมถูก "กังวล" ไปด้วยเช่นเดียวกัน และอาจจะกังวลมากว่าเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะว่า
ในกรณี block trade โบรกเกอร์จะมีความเสี่ยงเมื่อ "ลูกค้าเจ๊งจนติดหนี้และไม่มีเงินจ่าย"
แต่การบริหาร DW นั้น การซื้อหรือขายหุ้นแม่ ขึ้นอยู่กับ "ความสามารถของระบบและ trader" เพราะการออก DW ก็เหมือนเป็นผู้ขาย options ซึ่งมีผลตอบแทนที่จำกัดจากค่าพรีเมี่ยม แต่มีโอกาสขาดทุนที่ไม่จำกัด
หากการ hedging หรือป้องกันความเสี่ยงไม่ดี ก็มีบรรลัยกันแน่แท้
และเราต้องไม่ลืมว่า หากตลาดเกิด panic และ block trade เกิดพากันปิดสถานะขึ้นมา จะเกิดการ "แย่งกันขาย" ขนาดไหน ไหนจะ block trade ไหนจะการลดสถานะการป้องกันความเสี่ยงของ DW จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลง และการลดสถานะที่เกิดจากการที่ลูกค้าที่ถือ DW ขายออกมาอีก
หลายคนอาจบอกว่า DW ก็มีตัว put นี่นา มันน่าจะกลบกันได้ ไม่ได้หรอกครับ เพราะต่อให้ถูกทาง ลูกค้าเท่านั้น ที่จะกำไรอย่างแน่นอน แต่โบรกเกอร์ผู้ออกอาจจะไม่ได้กำไรด้วย เพราะป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน
นั่นจึงเป็นที่มาว่า ทำไมการบริหารจัดการ DW ในเวลานี้ มันเริ่มเพี้ยนๆและผิดปกติ ทั้งๆที่เราดูแล้วตลาดมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แต่ทำไมจัดการได้ "แย่"
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา
ถามว่าปัญหาเกิดที่ใครครับ?? ปัญหาเกิดที่นักลงทุนที่แห่กันไปเปิด block trade หรือ??
ความกังวลของโบรกเกอร์ในเรื่องสถานะของ block trade ที่มากมายในเวลานี้ มันเกิดจากใครล่ะครับ??
พวกคุณทำกันเองนั่นล่ะครับ "โบรกเกอร์" หน้ามืดตามัวอยากได้ส่วนต่าง 4 - 5% ต่อปี กันจนโถมเงินมาให้แผนก block trade เปิดกันขนาดนี้
ถ้ามันจะล่ม มันก็ล่มเพราะพวกคุณ ไม่ใช่ล่มเพราะนักลงทุนอย่างเรา