สรุปข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศตลอดสัปดาห์ทีผ่าน
- ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
ใกล้ถึงวันดีเดย์การปรับขึ้นภาษีของ ปธน.ทรัมป์ ที่มีแผนจะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของจีนจากอัตราร้อยละ 10 เป็นอัตราร้อยละ 25 ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2562 หากสหรัฐไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีนก่อนวันดังกล่าวได้ โดยผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนและหารือ เพื่อกำหนดแนวทางที่ทั้งสองฝ่ายสามารถยอมรับกันได้ จนนำไปสู่การหาข้อยุติสงครามการค้าที่สร้างความกดดันให้กับตลาดทุนทั่วโลกอยู่นาน ล่าสุดทีมเศรษฐกิจของสหรัฐนำโดย นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐและทีมเจรจา จะเดินไปยังกรุงปักกิ่งในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเพิ่มเติมจากการประชุมครั้งล่าสุด ที่สภาครองเกรส นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังเห็นว่า การประชุมระหว่าง ปธน.ทรัมป์ และ ปธน.สี จิ้นผิง อาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเดือนสองเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นผลให้มีความเสี่ยงการเกิดความล้มเหลวจากการเจรจาเพื่อยุติข้อขัดแย้งระหว่างสองประเทศได้
- ปธน ทรัมป์ ได้กล่าวถ้อยแถลงการณ์ต่อสภาครองเกรส
ปธน ทรัมป์ได้กล่าวแถลงการณ์ต่อสภาครองเกรสเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 62 ที่ผ่านมา โดยเนื้อหลักได้กล่าวถึง ผลงานตลอดระยะเวลาที่ได้รับตำแหน่งและแผนที่จะดำเนินการต่อในอนาคต และยังได้กล่าวถึงเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาด Dow Jon ปิดลบลงเล็กน้อย หลังจากผิดหวังที่ ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้ลงรายละเอียดในแผนเศรษฐกิจของสหรัฐ นอกจากนั้น สิ่งที่น่าสนใจจากแถลงการณ์ครั้งนี้คือการประกาศสถานที่การพบ ปธน. คิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ โดยเลือกประเทศเวียดนามในการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดการณ์ของตลาดก่อนหน้า
- นายกรัฐมนตรี เทราซ่า เมย์ ของอังกฤษ เยือนไอร์แลนด์เหนือ หวังให้ความมั่นใจว่าข้อตกลง Brexit จะไร้ข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาพรมแดน
อังกฤษยังระส่ำหลังแผนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปของนายกรัฐมนตรี เทราซ่า เมย์ ไม่ผ่านสภา จนทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการแยกตัวของอังกฤษ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะแยกตัวออกโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ (No Deal) อย่างไรก็ตาม นางเมย์ อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวมีประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจคือปัญหาพรมแดนของไอร์แลนด์ว่าจะมีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นอย่างไร หลังที่มีการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ดังนั้น นายกรัฐมนตรีของอังกฤษจึงลงพื้นที่ไอร์แลนด์เหนือด้วยตัวเองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงในประเด็นดังกล่าว
- กนง. มีมติเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.75
เป็นไปตามคาดที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 4 เสียง ต่อ 2 เสียง โดยคณะกรรมการ กนง. ที่เห็นควรให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 นั้น ให้ความเห็นว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 จะไม่สงผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทย
- การเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในประเทศ
ใกล้ถึงวันเลือกตั้งเข้าไปทุกที โดยกำหนดการเลือกตั้งจะมีในวันที่ 24 มี.ค. 62 นั้น ล่าสุด กกต. ได้ปิดรับการลงสมัครของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคต่าง รวมถึงการเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในแต่ละพรรคด้วย โดยล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอ พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ความชัดเจนดังกล่าว ทำให้ดัชนีผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคเดือนมกราคม สูงถึง 80.7 เพิ่มขึ้นจาก 79.4 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 54.5 เพิ่มจาก 53.4 และดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 92.3 เพิ่มจาก 90.8