ถือ STEC แค่ 3 เดือน เงินหายไป 30%
โบรกฯ เชียร์ทั้ง “ซื้อ” และ “ถือ”
ชี้มีโอกาสได้รับงานใหม่เติมพอร์ต

.
กลุ่มหุ้นรับเหมาก่อสร้าง เป็นหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่ปริมาณงานและรายได้จะขึ้นอยู่กับงานโครงการภาครัฐ แต่ด้วยในปัจจุบันสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ยังไม่ค่อยมีความชัดเจนนั้น ก็ได้ส่งผลต่องานโครงการภาครัฐให้เกิดชะลอหรือถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แน่นอนว่าก็ย่อมส่งผลเชิงลบต่อราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็ได้สำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าว พบว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่เป็นในตัวเต็งของกลุ่ม ก็มีการปรับตัวลดลงกว่า 30% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 66 ถึง 6 ก.ค.66) หรือลงมาอยู่ที่ระดับราคา 8.75 บาท
.
แต่อย่างไรก็ดี หากปัจจัยต่างๆรวมไปถึงปัจจัยหลักอย่างการเมืองในประเทศคลี่คลายลงหรือมีความชัดเจนการปรับตัวลงของระดับดังกล่าวจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนหรือควรจะรอจังหวะการลงทุนกันแน่ ทางเราก็ได้หยิบยกมุมมองการลงทุนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันกันในครั้งนี้
.
โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 15 บาท เนื่องจากหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รัฐจะเร่งประมูลโครงการที่ค้างท่ออยู่ โดยเฉพาะโครงการที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทำให้มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยคาดจะเริ่มมีความชัดเจนตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังปี 2566
.
สำหรับปัจจุบัน STEC มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 9.1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นงานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ได้รับในปี 2565 หลายโครงการเช่น รถไฟทางคู่เด่นชัย –เชียงราย – เชียงของรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รวมมูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
.
นอกจากนี้ยังมีงานที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในปีนี้ ได้แก่ โครงการสนามบินอู่ตะเภา มูลค่าโครงการ 2.7 หมื่นล้านบาท และงานโครงการใหญ่ที่รอประมูลในครึ่งปีหลังปี 2566 ต่อเนื่องถึงปี 2567 หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ งานรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่สอง โครงการขยายสนามบินของท่าอากาศยานไทย โครงการมอเตอร์เวย์ และทางพิเศษ เป็นต้น
.
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ถือ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 10.40 บาท เนื่องจากงานในมือ(Backlog) สูงแต่มีมาร์จิ้นต่ำ, มีความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนวัสดุก่อสร้างและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและมีอัพไซด์จำกัด
.
ส่วนประเด็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำประเมินว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นทุกๆ10% จะลดอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 0.95% ทั้งนี้มองว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและการปรับค่าแรงขั้นต่ำมากที่สุด เนื่องจากมีงานในมือจำนวนมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท
.
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าบริษัททนรับความเสี่ยงได้น้อย เพราะ Backlog ดังกล่าวมีมาร์จิ้นต่ำ (5-6%) ซึ่งหากราคาวัสดุก่อสร้างพุ่งสูงขึ้นหรือมีการบันทึกผลขาดทุนพิเศษก้อนใหญ่ เหมือนกับในไตรมาส 2/64 อาจจะทำให้บริษัทพลิกเป็นขาดทุนสุทธิได้ แม้บริษัทจะพยายามหางานใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเข้ามาเติมในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ด้วยความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้การประมูลโครงการภาครัฐมีแนวโน้มเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม