เช็ก 5 หุ้น SET50 แกร่งสุดรอบ 8 เดือน ปี 2568
- SCC (ปูนซิเมนต์ไทย): ให้ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี (YTD) สูงสุดที่ +27.98% และมีกำไร 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตถึง 200.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- KTB (ธนาคารกรุงไทย): มีผลตอบแทนราคา YTD +18.57% พร้อมกำไร 6 เดือนแรกของปี 2568 ที่ 22,835.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.52%
- KKP (ธนาคารเกียรตินาคินภัทร): ให้ผลตอบแทนราคา YTD +16.19% และมีกำไร 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโต 8.63%
- GPSC (โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่): มีผลตอบแทนราคา YTD +8.50% และกำไร 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง 37.81%
- ADVANC (แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส): ให้ผลตอบแทนราคา YTD +4.18% และมีกำไร 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโต 26.64%
ตลาดหุ้นไทย กำลังอยู่ในสภาวะที่ต้องลุ้นในเรื่องปัจจัยทางการเมือง ที่ยังมีความผันผวนไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งถ้ามีความชัดเจนแล้ว จะกลายเป็นปัจจัยบวกทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง และขณะนี้ผ่านไปแล้ว 8 เดือนของปี 2568 ในส่วนของ SET50 ซึ่งเป็นดัชนีที่เชื่อว่า ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วยหุ้น 50 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด และมีสภาพคล่องมากที่สุดในตลาด มีการคัดเลือกและปรับเปลี่ยนหุ้นในดัชนีทุก 6 เดือน ซึ่งทำให้ทันกับสถานการณ์ในภาวะปัจจุบัน "กรุงเทพธุรกิจ" ได้ไปสำรวจในหุ้น SET50 ว่ามีหลักทรัพย์ใด ที่มีกำไรในรอบ 6 เดือนแข็งแกร่งสุด และมีอัตราผลตอบแทนจากราคาตั้งแต่ต้นปีมากที่สุดในรอบ 8 เดือนนี้

1.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC
- ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 1 ก.ย.2568 ที่ 258,000.00 ล้านบาท เทียบมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2567 ที่ 201,600.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56,400 ล้านบาท สัดส่วน 27.98%
- ผลตอบแทนราคา YTD +27.98%
- เงินปันผล YTD 2.33%
- กำไร 6 เดือน ปี 2568 ที่ 18,436.13 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 6,132.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,303.34 ล้านบาท สัดส่วน +200.62%
- รายได้ 6 เดือน ปี 2568 ที่ 262,366.82 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 258,786.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,580.29 ล้านบาท สัดส่วน +1.38%
- ราคาสูงสุด / ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 255.00 / 124.50 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 หุ้น SCC มีโอกาสบันทึกกำไร/ขาดทุนการจำหน่ายสัดส่วนถือหุ้น CAP 10.57% ทั้งนี้ เชื่อว่ากำไรจากธุรกรรมดังกล่าวจะไม่มากเพราะได้ถูกประเมินต้นทุนอ้างอิงมูลค่ายุติธรรมในไตรมาส 2/68 ไปแล้วรวมทั้งคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 จะเป็นจุดสูงสุดของปีเพราะกำไรพิเศษก้อนใหญ่ของ CAP ทั้ง Negative Goodwill และการวัดมูลค่ายุติธรรมสัดส่วน 30.57% ได้รับรู้เข้ามาในไตรมาส 2/68 แล้วขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3/68 กำไรปกติประคองตัวQoQ โดยปัจจัยบวกจากการทยอยปรับเพิ่มราคาขายปูน, ปริมาณขายปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการผลิตรองรับเทศกาลปลายปี, ไม่ต้องรับภาระส่วนแบ่งขาดทุนของ CAP จะถูกชดเชยด้วยรายได้เงินปันผลรับลดลงตามฤดูกาล, ธุรกิจวัสดุก่อสร้างยังอยู่ช่วง Low Season ในฤดูฝน, และความท้าทายของผลประกอบการ LSP หลังเตรียมกลับมาผลิตเดือนส.ค.-ก.ย. เนื่องจาก Spread HDPE PP ยังอยู่ระดับต่ำ
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2568 สะท้อนกำไรพิเศษจาก CAP ปรับกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้นเป็น 2.2 หมื่นล้านบาทสาเหตุหลักมาจากการรวมกำไรพิเศษโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ CAP ในไตรมาส 2/68 มาไว้ในประมาณการ (ยังไม่รวมกำไร/ขาดทุนธุรกรรมกำไรขายหุ้น CAP สัดส่วน 10.57% ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568) ขณะที่เราปรับกำไรปกติปี 2568-2569 ขึ้นเล็กน้อย 1-7% เป็น 8 พันล้านบาท และ 1.2 หมื่นล้านบาท ตามลำดับโดยกำไรปกติครึ่งปีแรกของปี 2568 คิดเป็น 54% ของทั้งปี
โดยราคาหุ้นตอบรับข่าวบวกไประดับนึงแล้วปรับราคาเหมาะสมใหม่เป็น 194.00 บาท (อ้างอิง PBV คงเดิมที่ 0.6 เท่า) คงคำแนะนำ TRADING อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น +23% ภายใน 1 เดือน สะท้อนงบไตรมาส 2/68 ที่แข็งแกร่งไปมากแล้ว ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 เป็นจุดสูงสุดของปี รวมถึงกำไรพิเศษในไตรมาส 2/68 เป็นNon-Cash และคาดว่ากระแสเงินสดจากการลดสัดส่วน CAP ในครึ่งปีหลังของปี 2568 จะรองรับลงทุนโครงการ LSPE จึงประเมินว่า จะช่วยเพิ่มการจ่ายเงินปันผลได้จำกัดปัจจุบันหุ้นมี Div.Yield 2.9% และระยะสั้น Spread ปิโตรเคมีเริ่มถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบเชิงกลยุทธ์อาจทยอย Lock-in Profit หรือหากไม่มีสถานะอาจรอจังหวะลงทุนเมื่อหุ้นมี Upside กว้างกว่านี้
2.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB
- ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่
- มาร์เก็ตแคป 1 ก.ย.2568 ที่ 348,003.93 ล้านบาท เทียบมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2567 ที่ 293,497.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54,506.64 ล้านบาท สัดส่วน 18.57%
- ผลตอบแทนราคา YTD +18.57%
- เงินปันผล YTD 6.20%
- กำไร 6 เดือน ปี 2568 ที่ 22,835.70 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 22,273.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 562.11 ล้านบาท สัดส่วน +2.52%
- ราคาสูงสุด / ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 25.25 / 18.20 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ผู้บริหารยังคงเป้าหมายทางการเงินทั้งหมดไว้โดยคาดว่าสินเชื่อทั้งปีจะทรงตัวเทียบกับ -1% YTD ในไตรมาส 2/68 KTB มองว่า ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกเริ่มลดลงและคาดว่าความต้องการสินเชื่อจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีความชัดเจนของอัตราภาษีศุลกากรที่ 19% โดยธนาคารให้แนวโน้มว่า credit cost จะลดลงHoH ในครึ่งปีหลังของปี 2568 และแตะกรอบล่างของเป้าหมายที่ 1.05-1.25% ในปีนี้ซึ่งเป็นผลจากพอร์ตสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและการตั้งสำรอง NPL ที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ดี คาดว่า NIM จะลดลง QoQ ในไตรมาส 3/68 และไตรมาส 4/68 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเราคาดว่า NIM หักcredit cost จะลดลงประมาณ 30bps YoY เหลือ 1.86% ในปี 2568
ทั้งนี้ คาดการบินไทยส่งผลบวกต่อกำไรจากการลงทุนและการกลับรายการสำรองเราคาดว่า การฟื้นฟูกิจการของการบินไทย (THAI, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 10 บาท) จะส่งผลบวกต่อธนาคารโดยธนาคารสามารถจัดชั้นสินเชื่อของ THAI กลับเป็นสินเชื่อปกติและมีโอกาสกลับรายการสำรองบางส่วนในครึ่งปีหลังของปี 2568 โดย KTB มีสินเชื่อต่อ THAI อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท โดยในไตรมาส 4/67 KTB ได้แปลงหนี้ของ THAI มูลค่า 3.4 พันล้านบาท เป็นหุ้นส่งผลให้ NPL ลดลงปัจจุบัน KTB ถือหุ้น THAI อยู่ 4.7% ที่ต้นทุน 2.545 บาทต่อหุ้น โดยธนาคารจัดประเภทการลงทุนใน THAI เป็นแบบวัดมูลค่าตามมูลค่ายุติธรรมผ่านงบก าไรขาดทุนจึงคาดว่าก าไรจากการลงทุนอาจรับรู้ได้ในไตรมาส 3/68 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาปิดของหุ้นในสิ้นไตรมาส
นอกจากนี้ จากการเติบโต non-NII เราปรับประมาณการกำไรปี 2568-2569 ขึ้น 2-3% หลังจากปรับคาดการณ์การเติบโตของ non-NII ให้สอดคล้องกับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 และแนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 2568 โดยปัจจุบันคาดว่ากำไรทั้งปี 2568 จะทรงตัวYoY ที่ 4.38 หมื่นล้านบาท กำไรไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกำ ไรจากการลงทุนและ credit cost ที่ลดลงซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบจาก NIM ที่ลดลงหลังการลดดอกเบี้ยนโยบายโดยรวมเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารจาก NPL coverage ที่สูงและพอร์ตสินเชื่อที่มีสัดส่วนสูงของลูกหนี้ภาครัฐและข้าราชการ
3.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) KKP
- อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 1 ก.ย.2568 ที่ 51,652.39 ล้านบาท เทียบมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2567 ที่ 44,454.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,197.46 ล้านบาท สัดส่วน 16.19%
- ผลตอบแทนราคา YTD +16.19%
- เงินปันผล YTD 6.60%
- กำไร 6 เดือน ปี 2568 ที่ 2,471.02 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 2,274.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.21 ล้านบาท สัดส่วน +8.63%
- ราคาสูงสุด / ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 62.00 / 43.50 บาท
บล.บัวหลวง ระบุว่า KKP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาท โดยจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 16 ล้านหุ้น ไม่เกิน 1.9% ของหุ้นที่จาหน่ายได้ทั้งหมด หรือคิดเป็น 62.50บาท/หุ้น นอกจากนี้ยังประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่ 1.50 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend payout ratio ที่ 51% และ dividend yield ที่ 2.6% ซึ่งปันผลระหว่างกาลสูงกว่าที่เราคาดที่ 1.25 บาท/หุ้น (dividend payout ratio ที่ 43%) ทั้งนี้เราประเมินว่าปันผลต่อหุ้นทั้งปี 2568 ของ KKP อาจมี upside จากประมาณการเราที่ 4 บาท/หุ้น (dividend yield 7%) เป็น 4.50 บาท/หุ้นได้ (dividend yield 7.8%)
4.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) GPSC
- วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 1 ก.ย.2568 ที่ 117,018.77 ล้านบาท เทียบมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2567 ที่ 107,854.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,164.12 ล้านบาท สัดส่วน 8.50%
- ผลตอบแทนราคา YTD +8.50%
- เงินปันผล YTD 2.17%
- กำไร 6 เดือน ปี 2568 ที่ 3,159.29 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 2,292.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 866.74 ล้านบาท สัดส่วน +37.81%
- รายได้ 6 เดือน ปี 2568 ที่ 44,646.05 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 48,814.11 ล้านบาท ลดลง 4,168.06 ล้านบาท สัดส่วน -8.54%
- ราคาสูงสุด / ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 49.75 / 22.40 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิ GPSG ปี2568-2569 ขึ้น 20% เป็น5.4พันล้านบาท และ 15% เป็น5.4พันล้านบาทตามลำดับ สะท้อนกำไรครึ่งปีแรกของปี 2568 แข็งแกร่งกว่าคาดโดยเรารวมกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นเข้ามาไว้ในประมาณการรวมทั้งปรับสมมติฐานราคาขายไฟฟ้าที่อ้างอิงกับค่าFt ปี2568-2569 เป็น 4.03 บาท/หน่วยและ 3.80 บาท/หน่วย เพื่อสะท้อนการประกาศค่าไฟฟ้าเดือนก.ย.-ธ.ค. ที่ 3.94 บาท/หน่วย เดิมคาดไว้ 3.70 บาท/หน่วย ทั้งนี้ประมาณการของเรายังไม่รวมโอกาสลงทุนในโรงไฟฟ้าจาก PTT Group เพิ่มเติมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมกลางปีหน้าที่ 41.00 บาทปรับไปใช้ราคาเหมาะสมกลางปี 2569 ที่ 41.00 บาทคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นมีปัจจัยหนุนจากทิศทางงบไตรมาส 3/68 อยู่ระดับสูง, ตลาดมีโอกาสปรับประมาณการขึ้น, คาดหวังความคืบหน้าแผน Spin-off Avaada
5.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- มาร์เก็ตแคป 1 ก.ย.2568 ที่ 889,288.71 ล้านบาท เทียบมาร์เก็ตแคปสิ้นปี 2567 ที่ 107,854.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781,434.06 ล้านบาท สัดส่วน 725%
- ผลตอบแทนราคา YTD +4.18%
- เงินปันผล YTD 3.55%
- กำไร 6 เดือน ปี 2568 ที่ 21,565.41 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 17,028.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,537.09 ล้านบาท สัดส่วน +26.64%
- รายได้ 6 เดือน ปี 2568 ที่ 112,750.52 ล้านบาท เทียบช่วง 6 เดือน ปี 2567 ที่ 104,937.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,813.33 ล้านบาท สัดส่วน +7.45%
- ราคาสูงสุด / ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 309.00 / 244.00 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ADVANC ปรับเพิ่ม Guidance ในปี 2568 ดังนี้ 1) Coreservice revenue เติบโต 4-6% จาก 3-5% และ 2) EBITDA โต 4-6% จากก่อนหน้าที่3-5%
ทั้งนี้ Guidance ใหม่ที่เพิ่มขึ้นได้คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่จะอ่อนแอลงในครึ่งปีหลังของปี 2568 สะท้อนว่าบริษัทฯ คาดว่าจะยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งคาดกำไรปกติจะเร่งตัวขึ้นHoH ในครึ่งปีหลังของปี 2568 เราและตลาดคาดต่าเกินไปกำไรปกติครึ่งปีแรกของปี 2568 คิดเป็น 53% ของประมาณการทั้งปี 2568 ของเราที่ 4.06 หมื่นล้านบาท และคิดเป็น 52% ของประมาณการของตลาดที่ 4.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรปกติครึ่งปีหลังของปี 2568 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น HoH 1) แม้เศรษฐกิจโดยรวมอ่อนแอลง แต่รายได้รวมยังเติบโตได้จากการปรับเพิ่ม ARPU 2) ต้นทุนคลื่น 2100MHz ที่ลดลงหลังการประมูลปีละ 2.9 พันล้านบาทจะเริ่มรับรู้ตั้งแต่เดือนส.ค.2568 หรือราว 1.2 พันล้านบาทในครึ่งปีหลังของปี 2568 และ3) การลดต้นทุนอื่นๆอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1197084