วิเคราะห์โอกาสการเติบโตหุ้นกลุ่มธนาคาร
ในงบไตรมาส 1/67

.
เป็นที่ทราบกันดีแล้วสำหรับผลประกอบการในปี 2566 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ได้ประกาศผลกันออกมาเรียบร้อยแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้ามองไปยังอนาคต หุ้นกลุ่มนี้จะยังมีความน่าสนใจหรือไม่ คอลัมน์ “โพยหุ้น” ประจำวันจันทร์ ทีมข่าว Wealthy Thai ได้รวบรวมแนวโน้มการเติบโตช่วงไตรมาส 1/67 ของหุ้นกลุ่มนี้มาฝากนักลงทุน
.
โดยแนวโน้มการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ในไตรมาส 1/67 นักวิเคราะห์ประเมินกำไร จะเติบโตราว 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่ขยายตัว และคาดจะเติบโต 20% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง นอกจากนี้คุณภาพสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งอีกด้วย
.
หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 ของธนาคารรวมที่ 5.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้น และเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลงและอัตราส่วนค่าใช้จ่าย/รายได้เฉลี่ยที่ลดลง
.
โดยคาด NIM ของกลุ่มธนาคารที่ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำเฉลี่ยที่ 3.56% ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 0.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราผลตอบแทนสินเชื่อเฉลี่ยที่สูงขึ้น แต่ลดลง 0.04% จากไตรมาสก่อน เพราะต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
.
สำหรับการขยายตัวของ NIM จะกลบผลกระทบของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ลดลง การตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยรวมในไตรมาส 1/67 ที่ 4.15 หมื่นล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 6% จากไตรมาสก่อน
.
หลักๆ มาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่ลดลง คาดอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ต่อสินเชื่อเฉลี่ยที่ 1.53% เพิ่มขึ้น 0.05% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.26% จากไตรมาสก่อน (KKP, KTB, TTB มีการตั้งสำรองเพิ่มเติมในไตรมาส 4/66)
.
ทั้งนี้คาดอัตราส่วนค่าใช้จ่าย/รายได้เฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำที่ 44.36% เพิ่มขึ้น 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4.66% จากไตรมาสก่อน (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงตามฤดูกาล) ซึ่งมองว่าสินเชื่อรวมสิ้นเดือน มี.ค. 2567 จะอยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน
.
โดยประเมิน BBL, TTB และ SCB จะเป็นผู้นำการเติบโตของกำไรในไตรมาส 1/67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาด BBL จะรายงานการเติบโตของกำไรสุทธิมากที่สุดที่ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้นและการตั้งสำรองที่ลดลง และเพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตราส่วนค่าใช้จ่าย/รายได้ที่ลดลง
.
ตามด้วย TTB ที่คาดเติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจาก NIM ที่ขยายตัวขึ้น แต่ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน จากที่คาดว่าทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการตั้งสำรองจะลดลงจากไตรมาสก่อน แต่ไม่คิดว่า TTB จะใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีในไตรมาส 1/67
.
อีกทั้งคาด SCB จะรายงานกำไรสุทธิที่ เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่ขยายตัวขึ้น และเติบโต 4% จากไตรมาสก่อน เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง
.
แต่ในทางตรงกันข้าม คาด KKP จะมีกำไรลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากขาดทุนจากการขายรถยึด แต่เติบโต 87% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลงและการขาดทุนจากไตรมาสก่อนที่น้อยลงจากการขายรถยึด
.
ขณะที่ TISCO คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ NIM ที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง แต่การตั้งสำรองที่มากขึ้น และจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อ แต่ NIM ที่ลดลง
.
นอกจากนี้คาดว่า KTB จะรายงานกำไรที่ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้น แต่การตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก็สูงขึ้นเช่นกัน แต่เติบโต 64% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งสำรองที่ลดลง
.
ส่วน KBANK น่าจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 ที่ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่ขยายตัวขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้นและกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่ลดลง แต่เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงกลบรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ลดลง
.
ด้านอัตราส่วนหนี้เสีย/สินเชื่อรวมเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ให้คำแนะนำลดลงจาก 2.96% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2566 มาเหลือ 2.91% ณ สิ้นปี 2566
.
นอกจากนี้อัตราส่วนการตั้งสำรองเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 186.8% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2566 เป็น 189.7% ในปี 2566 ตัวเลขเหล่านี้ทำให้มั่นใจว่าคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารที่ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำยังคงดีอยู่ โดย BBL มีอัตราส่วนการตั้งสำรองสูงสุดในปี2566 ที่ 314.7% รองลงมาคือ TISCO, KTB, KKP, TTB, SCB และ KBANK
.
สำหรับคำแนะนำ เริ่มจาก BBL แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 195 บาท, KBANK แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 155 บาท
.
KKP แนะนำ ขาย ราคาเป้าหมาย 42 บาท, KTB แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท, SCB แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 115 บาท, TISCO แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 105 บาท, และ TTB แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 1.80 บาท