เหล็กจีน“ครองเมือง” ผู้บริโภครับกรรม
ด้วยกำลังการผลิตเหล็กที่สูงมาก แต่ความต้องการใช้ในประเทศลดลง ทำให้ “จีน” ต้องส่งออกเหล็กไปยังประเทศต่างๆ ในราคาที่ต่ำเพื่อทำการตลาด

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น และอาจจะกล่าวได้ว่า “เหล็ก” ที่ใช้ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในขณะนี้เป็นเหล็กจีน ซึ่งมีคำถามว่ามีคุณภาพได้มาตรฐานหรือไม่ หรือบางส่วนมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการใช้งาน และยิ่งเกิดเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ มูลค่ากว่า 2.1 พันล้านบาท ก่อสร้างโดยบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ถล่มระหว่างการก่อสร้างหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค.2568 ยิ่งทำให้ความกังวลกับมาตรฐานของ เหล็กจีนเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
จากการตรวจสอบพบว่าเหล็กส่วนใหญ่ที่นำมาตรวจสอบเป็นเหล็ก ที่ผลิตจากบริษัทซิน เคอ หยวน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเหล็กจากจีนที่มีการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเหล็กได้ทยอยเข้ามาลงทุนในไทยหลายแห่งหลังจากที่รัฐบาลจีนแก้ปัญหาฝุ่นควันในจีนที่มีปัญหารุนแรงเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา และได้ออกกฎหมายห้ามการผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมแบบ Induction Furnace เนื่องจากเกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ ทว่าปัจจุบันกลับมีผู้ผลิตเหล็กในไทยที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวรวม 12 บริษัท
คำถามคือว่าโรงงานที่พบว่าผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานนี้เป็นโรงงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมไปตรวจและสั่งปิดไปตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 เพราะตรวจสอบแล้วพบว่าตกคุณสมบัติด้านการกล และคุณสมบัติทางเคมี ทว่ายังมีการนำ “เหล็ก” ไปใช้ในการก่อสร้างได้อย่างไร
นี่ยังไม่นับรวมอีก 12 ผู้ผลิตเหล็กไทยที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว หากมีการผลิตเหล็กออกมาสู่ท้องตลาดแล้วจะมีมาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างไร ที่ผ่านมามีข้อเสนอให้ยกเลิก มอก.ที่ผลิตจากเตา Induction Furnaceออกกฎหมายควบคุมและจำกัดเตา Induction Furnace รวมถึงการห้ามใช้เหล็ก T (Tempcore) ในอาคารสูงหรือโครงสร้างที่เสี่ยงต่อแรงสั่นสะเทือน และตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาและมาตรฐานเหล็กเส้นในโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อความปลอดภัย
ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปีงบประมาณ 2568 พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มีบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัดได้งานประมูลภาครัฐอย่างน้อย 14 แห่งรวม 7,232,098,777 บาท หรือราว 7.2 พันล้านบาทจะทำอย่างไรถึงจะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “การก่อสร้าง” ต่างๆ ไม่เกิดภาพแบบอาคาร สตง. อีกในประเทศไทย ต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาและมาตรฐานเหล็กเส้นในโครงการก่อสร้างต่างๆ อย่างรัดกุม เปิดให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมตรวจสอบ หรือเปิดเผยสัญญาการก่อสร้างให้ประชาชนสามารถช่วยตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส เพื่อความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณและความปลอดภัยของประชาชน
การแก้ปัญหาเหล็กจีนบุกตลาดไทยต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ภาครัฐต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและเป็นธรรมในการควบคุมการนำเข้า และสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่ภาคเอกชนต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กไทยและรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคต้องเป็นฝ่ายรับกรรมด้วยเช่นกัน
ที่มา..บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1174204