TQM หุ้นนายหน้าประกันภัยปันผลดี
โบรกฯ คาดให้ผลตอบแทนกว่า 4%
.
หุ้นปันผลสัปดาห์นี้จะพานักลงทุนมาพบกับ “หุ้นนายหน้าประกันภัย” ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดใจที่ราว 4% และแนวโน้มการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว นั่นคือ TQM หรือ บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน)
.
โดย TQM ประกอบธุรกิจถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) และประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการนายหน้าประกันภัย มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
.
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบัน TQM มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 19,650 ล้านบาท และมี P/E อยู่ที่ระดับ 24.34 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ต.ค. 66) โดยราคาหุ้นวันที่ 5 ต.ค. 66 อยู่ที่ 32.76 บาท ปรับตัวลดลง 16.03% จากช่วงต้นปี และมี Dividend Yield อยู่ที่ระดับ 3.66%
.
สำหรับประวัติการจ่ายเงินปันผล หากนักลงทุนถือหุ้น TQM ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงวันที่ 12 พ.ค. 2566 จะได้รับเงินปันผลทั้งหมด 9 ครั้ง รวมเป็นเงินรวม 7.35 บาท และล่าสุด TQM ได้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จำนวน 600 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ไปแล้วในวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา
.
ส่วนภาพรวมการจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2566 และปี 2567 มีแนวโน้มที่ TQM จะให้ผลตอบแทนในระดับ 4% ต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าในปี 2566 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ 1.20 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 3.93% และปี 2567 คาดจะจ่ายเงินปันผลที่ 1.40 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 4.3%
.
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานคาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งในเชิงของรายได้ที่น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นรอบต่อประกันตาม seasonality
.
ส่วนต้นทุนผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว สะท้อนจากอัตรากำไรขึ้นต้น (GPM) และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A to sales) ที่ดีขึ้น จึงคาดว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าทุกไตรมาส ขณะที่กำไรในไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มดีขึ้นต่อจากยอดประกันรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 45 บาท จาก 1. ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2565 ที่มีการปรับโครงการองค์กรและทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้, 2. แนวโน้มกำไรครึ่งหลังปีนี้ฟื้นตัวทุกไตรมาส,
.
3.กำไรปี 2567 ของฝ่ายวิเคราะห์มี upside risk จากยอดขายประกันรถยนต์ EV ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งราคาสูงกว่ารถสันดาปราว 30-40% โดยปัจจุบันยอดจดทะเบียนรถยนต์ EV ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 3 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 215% จาก 9.5 พันคันในปี 2565 และ 4. ราคาปัจจุบันซื้อขายบน P/E ปี 2567 ที่ 18.5x เท่า สะท้อน valuation ที่ไม่แพง รวมถึงมี Dividend yield ราว 4%
