CENTEL เผยปี 65 พลิกมีกำไร 398 ลบ. โต 122.96% เปิดประเทศ-ธุรกิจอาหารหนุน
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานปี 65 บริษัทพลิกมีกำไร 398.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.96% จากปีก่อนที่ขาดทุน 1,733.20 ล้านบาท โดยปี 65 บริษัทมีรายได้ 18,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,581 ล้านบาท โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมต่อรายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 36% ต่อ 64% ขณะที่กำไรขั้นตอนรวม 10,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,755 ล้านบาท หรือ 59% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

.
สำหรับธุรกิจโรงแรม บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น 92 โรงแรม เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 50 โรงแรม และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 42 โรงแรม โดยภาพรวมอัตราการเข้าพัก เพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 52% และราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7% เทียบกับปีก่อนเป็น 4,791 บาท ส่งผลให้รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 193% เทียบปีก่อน เป็น 2,486 บาท
.
ทั้งนี้ ในปี 65 ธุรกิจโรงแรมมีรายได้รวมอยู่ที่ 6,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,209 ล้านบาท หรือ 180% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทขาดทุนสุทธิ 161 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเทียบปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1,945 ล้านบาท หรือปรับตัวดีขึ้น 92% โดยผลการดำเนินงานฟื้นตัวชัดเจน จากการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของโรงแรมระดับห้าดาวและลักชัวรี่ในสถานที่ท่องเที่ยวหลัก
.
ด้านธุรกิจอาหาร ปี 65 มีรายได้รวม 11,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,372 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 25% โดยมียอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 20% โดยธุรกิจอาหารมีกำไรสุทธิ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 348 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของยอดขายในทุกช่องทางทั้งการรับประทานในร้าน การซื้อกลับบ้านและช่องทางเดลิเวอรี่ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารในร้านมีอัตราการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น
.
ด้านแนวโน้มในปี 66 โดยธุรกิจโรงแรมมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้น จากมาตรการเปิดประเทศ การเปิดเส้นทางการบินและจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้ โรมแรมในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งจากการเติบโตจากฐานต่ำในช่วงครึ่งปีแรก โดยปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้สำหรับโรงแรมเปิดใหม่ที่บริษัทเป็นเจ้าของ 1 โรงแรม คือ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า จำนวน 515 ห้อง กำหนดเปิดดำเนินการวันที่ 1 ก.ค. 66 โดยโครงนี้บริษัทมีบริษัท Centara Osaka Japan Kabushiki Kaisha ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% เป็นผู้เช่าทรัพย์สินเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมและบริษัทยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน Centara Osaka Tokutei Mokutei Kaisha
.
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนปรับปรุงใหญ่ สำหรับโรงแรมในไทย 2 โรงแรม คือ 1.โรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต 335 ห้อง โดยคาดว่าจะปิดโรงแรมทั้งหมดเพื่อปรับปรุงในช่วงไตรมาส 3/66 ส่วนแห่งที่ 2 คือ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ พัทยา จำนวน 553 ห้อง ทยอยปิดปรับปรุงโดยไม่ปิดโรงแรม ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานอย่างจำกัด โดยเริ่มในช่วงไตรมาส 3/66
.
ด้านธุรกิจอาหาร คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทประมาณการอัตราการเติบโตจากสาขาเดิมไม่รวมกิจการร่วมทุนเติบโต 7-9% และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขาจะอยู่ในช่วง 13-15% โดยบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นสุทธิรวมแบรนด์ร่วมทุนประมาณ 120-150 สาขา โดยแบรนด์ที่เน้นการขยายสาขาได้แก่ KFC,มิสเตอร์โดนัท,อานตี้ แอนส์,สลัดแฟคทอรี่,ส้มตำนัว และชินคันเซ็น ซูชิ เป็นต้น
.
ขณะที่ความผันผวนราคาวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนค่าไฟและค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนมีความท้าทายมากขึ้น บริษัทมีการวางแผนในการเจรจาต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง หาแหล่งวัตถุดิบทดแทน รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป และยังมีแผนการปรับเปลี่ยนสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย
.
ทั้งนี้ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาอัตราการทำกำไรให้เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ 3 ด้าน คือ การสร้างรายได้ การลดต้นทุน และควบคุมในด้านการลงทุนขยายธุรกิจ
***********************************