ฟิทช์ มอง`ไทยประกันชีวิต(TLI)`ขาย IPO หนุนเงินกองทุน-รักษามาร์เก็ตแชร์

ฟิทช์ ประเมิน "ไทยประกันชีวิต (TLI)" เสนอขายหุ้น IPO ช่วยเพิ่มระดับเงินกองทุน รองรับความเสี่ยง และช่วยให้บริษัทสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้
.
ฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ ‘A-’/แนวโน้มมีเสถียรภาพ) น่าจะมีระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมายในระดับที่แข็งแกร่งขึ้น และยังคงมีโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจประกันภัยที่แข็งแรง (favorable company profile) ต่อเนื่อง หลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2565 แล้วเสร็จ
.
และฟิทช์มองว่าเงินที่ได้รับจากเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งการตลาด รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยง
.
TLI ได้ประกาศแผนการเสนอขายหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ราคา 16 บาทต่อหุ้น โดยจะเสนอขายไม่เกิน 18.8% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งจะแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 39% และอีก 61% จะเป็นหุ้นที่ขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตระกูลไชยวรรณ ทั้งนี้คาดว่าผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) น่าจะมีสัดส่วนประมาณ 54% ของการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ และบริษัทได้ยืนยันว่า พันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ซึ่งคือ Meiji Yasuda Life Insurance (อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ ‘A+’/แนวโน้มมีเสถียรภาพ) จะยังรักษาสัดส่วนในการถือหุ้นเท่าเดิมที่ 15% หลังจาก IPO
.
ทั้งนี้ เงินทุนที่จะเพิ่มขึ้น จำนวนไม่เกิน 1.36 หมื่นล้านบาท จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัท มีความยืดหยุ่นทางการเงินเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ และมีความสามารถในการขยายการลงทุนได้อย่างรวดเร็วหากมีความจำเป็น ในขณะที่ยังมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง
.
ทั้งนี้ TLI มีแผนที่จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 46% เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของระดับเงินกองทุนและใช้เป็นทุนหมุนเวียน และ 40% พื่อการพัฒนาช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ ส่วนที่เหลืออีก 15% เพื่อการนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) สำหรับแพลตฟอร์มดิจิทัล และการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน
.
ฟิทช์ เชื่อว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในประเทศ เนื่องจากมาตรฐานที่สูงขึ้นในด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ (accountability) และความโปร่งใส (transparency) จากการที่ TLI เป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ (2564: ส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 15% ของเบี้ยประกันภัยรับรวม)
.
โดย TLI จะเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งที่ 2 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อจาก บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีขนาดธุรกิจเล็กกว่า ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้น่าจะช่วยส่งเสริมให้มีบริษัทประกันชีวิตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาสู่อุตสาหกรรมประกันซีวิต
.
TLI ยังคงมีสถานะทางการเงินที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัท ณ ปัจจุบัน โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 บริษัทมีรายรับจากเบี้ยประกันภัยรวม จำนวน 1.95 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 3.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการลงทุน พอร์ทเงินลงทุนของบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี โดยมีสัดส่วนการลงทุน ในตราสารหนี้รัฐบาลและบริษัทที่มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment grade) ที่ประมาณ 80% ทั้งนี้บริษัทมีระดับเงินกองทุนอยู่ที่ 361% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ร้อยละ 140 อยู่ค่อนข้างมาก
