ดูเหมือนจะเป็น "เทศกาล" กันไปแล้วสำหรับนักลงทุนสายเน้นคุณค่าที่จะต้องจับตาอ่าน "จดหมายถึงผู้ถือหุ้น" ที่เขียนโดยนักลงทุนระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ 1 ปี จะมีแค่ 1 ครั้งเท่านั้น
สำหรับประจำปี 2018 มีอะไรบ้าง ต้องอ่านกันครับ ...
1. มูลค่าทางบัญชี Book Value ได้สูญเสียความหมายที่แท้จริงไปเรียบร้อยแล้ว
บัฟเฟตต์ ออกมายอมรับว่าการออกกฏมาตรฐานบัญชีแบบใหม่สำหรับบริษัทที่เป็น Holding แต่เดิมจะบันทึกลักษณะ "ต้นทุน" ที่บริษัทซื้อ แต่หลังจากการออกกฏใหม่ให้บันทึกเป็นลักษณะ "Marked to Market" คือ เปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้น เพื่อนำมาคำนวนมูลค่าทางบัญชีที่บริษัท Holding นั้นๆถืออยู่ ซึ่งจะกระทบ 2 ส่วน ส่วนแรก งบดุลของบัญชีที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน อย่างที่สองราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบต่อกำไรที่จะต้องรายงานในไตรมาสหน้า
ด้วยขนาดพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ถึง 1.73 แสนล้านเหรียญ ทำให้ในวันหนึ่งๆเบิร์กไซด์มีการแกว่งตัวของกำไร/ขาดทุน มากถึง 2 พันล้านเหรียญ - 4 พันล้านเหรียญต่อวันโดยเฉลี่ย โดยสรุปแล้วทั้งบัฟเฟตต์และมังเกอร์ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับมาตรฐานบัญชีใหม่
"พอร์ตโฟลิโอก็เหมือนกับฟาร์มต้นไม้ ... นักลงทุนอาจจะมองว่าเบิร์กไซด์มีธุรกิจที่หลากหลายและหุ้นหลายตัวมากเกินไป " แต่ผมอยากจะบอกว่ามีต้นไม้จำนวนน้อยมากในฟาร์มของเราที่อาจจะติดโรคและไม่เติบโตหรือเราอาจจะวิเคราะห์ผิดได้ด้วยสาเหตุบางประการ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วฟาร์มต้นไม้ของเราประกอบไปด้วยต้นไม้ชั้นเลิศที่พร้อมจะเติบโตอย่างสวยงามในอนาคต ผมไม่อยากให้นักลงทุนมองต้นไม้แบบต้นต่อต้น แต่อยากให้มองลักษณะภาพรวมมากกว่า"
2. การซื้อหุ้นคืน คือการตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างจริงใจที่สุด
บัฟเฟตต์ยังเน้นย้ำเหมือนเดิมทุกปี ในเรื่องของการซื้อหุ้นคืน คือวิธีที่ดีที่สุดที่ผู้บริหารจะตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ การซื้อหุ้นคืนทำให้มุลค่าโดยเนื้อแท้ (intrinsic value) เพิ่มสูงขึ้น กำไรต่อหุ้นสูงขึ้น ปันผลเพิ่มมากขึ้น โดยทีผู้บริหารไม่จำเป็นต้องปวดหัวไปกับการคิดแผนงานใหม่ที่จะดันกำไรให้บริษัทในปีหน้า แต่ด้วยวิธีเหล่านี้อาจจะดุไม่เป็นมืออาชีพ ดังนั้นผู้บริหารหลายคนจึงมักใช้เงินจำนวนมากไปกับการซื้อกิจการ มากกว่าจะนำมาซื้อหุ้นคืน ...
แต่ต้องไม่ลืมว่าบริษัทที่จะซื้อหุ้นคืน หุ้นเหล่านั้นต้องต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นจริงๆ การซื้อหุ้นคืนแบบหูหนวก-ตาบอด คือการทำลายมูลค่าของหุ้นตัวนั้นๆ และส่งผลไปยังผู้ถือหุ้นด้วย (Blindly buying an overpriced stock is value-destructive)
3. สิ่งที่ยากที่สุดในการบริหารเงิน คือ นั่งทับเงินจำนวนมากแล้วไม่รู้จะนำเงินไปทำอะไรดี ?
ตอนนี้สิ่งที่เบิร์กไซด์ประสบปัญหา คือนั่งทับเงินสดมากถึง 1.12 แสนล้านเหรียญ แล้วไม่รู้จะนำไปทำอะไรดี การหาดีลธุรกิจที่จะเข้าไปซื้อไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการเข้าซื้อนั้นหมายถึงต้องมีราคาสมเหตุสมผลจริงๆ บริษัทเล็กๆที่น่าสนใจ การเข้าซื้อของเบิร์กไซด์อาจจะทำให้หุ้นเล็กๆเหล่านั้นพุ่งติดจรวดจนทำให้ถึงราคาที่บัฟเฟตต์คิดอยากจะขายแล้วก็เป็นได้
ดังนั้นสิ่งที่บัฟเฟตต์มองหา คือ การมองหาดีลธุรกิจขนาดใหญ่ที่บัฟเฟตต์เขียนติดตลกว่า "เท่าช้าง" (elephant-sized acquisition)
ในปัจจุบันการมองหาดีล "ขนาดเท่าช้าง" เป็นเรื่องไม่ง่าย ด้วยตลาดหุ้นอเมริกาวิ่งขึ้นมามาก หุ้นจำนวนมากแพงไปแล้ว ไม่ใช่ราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน
4. ทองคำไม่ใช่การลงทุนที่ดี ... ?
"ในวันที่ 11 เดือนมีนาคม จะครบรอบ 77 ปี ที่ผมลงทุนในตลาดมาตั้งแต่ปี 1942 ผมอายุ 11 ปี และใช้เงินเก็บก้อนแรก 114 เหรียญซื้อหุ้น 3 ตัวอย่าง Cities Service" บัฟเฟตต์กล่าว
"ตลอดการเดินทางผมรุ้สึกว่า ผมเป็นทุนนิยมเต็มตัวและก็รู้สึกดีมากๆด้วย ถ้าตอนนั้นผมรู้สึกกลัว กลัวว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงของการปรับฐาน หรือแม้แต่ค่านิยมที่บอกว่าวิกฤตจะเกิดทุกๆ 10 ปี ผมคงต้องขายหุ้นออกไปเพื่อ 'ปกป้อง' ตัวเอง และมองหาการลงทุนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองซึ่งนั้่น คือทองคำ สินทรัพย์ที่ใครๆต่างก็ยกย่องว่า 'ปลอดภัย' ผมอาจจะรีบกำเงินของผม 114 เหรียญไปซื้อทองคำทันที ต่อจากนั้นด้วยระยะเวลา 77 ปี เงินก้อนนี้ของผมจะมีมูลค่าสูงถึง 4,200 เหรียญ !!! ดังนั้นผมจึงขอสรุปว่า ก้อนเหล็กที่ระยิบระยับ ไม่เหมาะกับชาวอเมริกันผู้กล้าหาญ (The magical metal was no match for the American mettle) "
== สรุป ==
จดหมายถึงผู้ถือหุ้นของวอเร็น บัฟเฟตต์ ถูกเขียนโดยตัวเขาเองโดยจะมีเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้ติดตามรออ่านเป็นจำนวนมาก โดยสาระสำคัญจะอยู่ที่เรื่องในองค์กรเบิร์กไซด์ฮาธาเวย์ แนวคิดทางการลงทุน ภาษี การเมือง เรื่องขำขัน เป็นต้น
สำหรับปีนี้ เรื่องที่น่าสนใจและนำมาปรับใช้กับนักลงทุนคนไทย คือ เรื่องของการซื้อหุ้นคืน คือการตอบแทนที่จริงใจที่สุดถ้าบริษัทนั้นไม่ได้ซื้อหุ้นตัวเองแพงจนเกินไป ส่วนประเด็นเรื่องทองคำเป็นเรื่องความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้นครับ แต่ก็ถือเป็นการเปรี่ยมเทียบที่น่าสนใจไม่น้อยที่ว่า การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาวที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด ... นั้นเอง