ประเทศไทยและผู้นำในพหุวิกฤติ
By ศ.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด | มูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ
สถานการณ์ของประเทศไทยทุกวันนี้ทำให้เราไม่ต้องเถียงกันเลยว่าประเทศไทยตกอยู่ในวิกฤติหรือไม่ ประเทศไทยอยู่ในวิกฤติอย่างจริงแท้แน่นอนมากว่าทศวรรษแล้ว ไม่ใช่วิกฤติเฉพาะหน้าด้านสงครามการค้าระหว่างช้างสาร 2 ตัวที่ทำให้หญ้าแพรกอย่างประเทศเราอาจแหลกลาญ แต่เป็นวิกฤติประเภทซึมลึกลงไปในโครงสร้าง เป็นวิกฤติที่เกิดจากปัญหาโลกแตกหรือที่ฝรั่งเรียกว่า (vicious circle) เป็นวงจรอุบาทว์ที่ทับซ้อนกันจนไม่รู้ว่าจะแก้ตรงจุดไหนก่อน

แล้ววิกฤติเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อการทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นอีก มิหนำซ้ำการแก้ปัญหาของรัฐยังเกาไม่ถูกที่คัน วิกฤติแรกก็คือวิกฤติสังคมสูงวัย ซึ่งทำให้ความสามารถในการผลิตของแรงงานไทยต่ำลงและยังทำให้กำลังซื้อลดลงอีกด้วย วิกฤติที่สองคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมและเศรษฐกิจฐานรากซึ่งมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
วิกฤติที่สามก็คือวิกฤติสิ่งแวดล้อม ทั้งมลพิษที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศของเราเอง รวมทั้งมลพิษที่ข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพ่อค้าไทยไปพัฒนาการทำไร่ข้าวโพดทำให้เกิด PM 2.5 มาทำลายสุขภาพของเรา ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศที่รัฐตื่นเต้นว่าเป็นโครงการใหญ่ที่นำอุตสาหกรรมเข้ามาก็กลายเป็นโรงงานจีนที่มาใช้เทคโนโลยีที่จีนไม่เอาแล้ว ล้าสมัยแล้ว และมาปล่อยมลพิษทิ้งไว้ในเมืองไทย และยังสวมสิทธิขายสินค้าไปสหรัฐ
กลายเป็นว่าผลลัพธ์นั้นเกิดต้นทุนต่อสังคมมากกว่าผลดีที่เป็นการจ้างงานและการสร้างทักษะ วิกฤติถัดไปเป็นวิกฤติที่ใหญ่มากและเกิดปัญหามายาวนานแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้หรือเห็นทางแก้ไขก็คือ วิกฤติที่สี่ วิกฤติการศึกษา การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่ลงทุนมากได้ผลน้อย ผลลัพธ์วัดจากการทดสอบเปรียบเทียบกับนานาชาติกลายเป็นว่า ผลการศึกษาของเด็กไทยถดถอยมาเป็นลำดับ ทั้ง ๆ ที่การลงทุนด้านการศึกษาไทยคิดเป็นสัดส่วนของงบประมาณของประเทศแล้วสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ
การวิจัยพบว่าคนไทยอ่อนแอด้านการคิดเชิงเหตุผลและเชิงวิทยาศาสตร์ มีความสามารถในการแยกแยะความจริงกับความเท็จออกจากกันได้ต่ำ ทำให้มิจฉาชีพออนไลน์ค่อนข้างรุ่งเรือง และวิกฤติที่ห้า คือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรงกว่าทุกวิกฤติระดับโลกที่ผ่านมา สรุปได้ว่าประเทศไทยตกอยู่ในวงจรพหุวิกฤติถาวรแล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติสงครามสองขั้วระหว่างสหรัฐและจีน
การมองภาพไปในอนาคตของเศรษฐกิจไทยของสถาบันคาดการณ์ด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มักจะพบว่าประเทศไทยจะถอยหลังไปเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นลำดับสุดท้ายในอาเซียน รวมทั้งยังอยู่หลังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ยังมีวิกฤติใหญ่ที่เป็นวงจรอุบาทว์ที่ผูกวิกฤติทั้งหลายไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นรากเหง้าของปัญหาจนยากที่จะแก้ไข วงจรอุบาทว์นี้ก็คือวงจรคอร์รัปชันในสังคมไทย ซึ่งนับวันก็ยิ่งลุกลามไปทุกหย่อมหญ้าแม้แต่ในวงการสงฆ์และการศึกษาปัญหาคอร์รัปชันที่นำไปสู่ความหย่อนยานของเราในเรื่องการจัดการปัญหามิจฉาชีพแย่ลง จนต้องให้จีนส่งเจ้าหน้าที่ของเขามาเร่งรัดจัดการให้ ทำให้ทุกวันนี้ไม่ว่าในเรื่องอะไรรัฐบาลไทยก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีในความเห็นของรัฐบาลต่างชาติ จนประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่อยู่ในสายตาของชาวโลกไปแล้ว
แม้ว่าคนไทยทั้งปวงจะไม่กินหญ้าและรู้ว่าปัญหาคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย แต่มักจะมองการแก้ปัญหาออกเป็นส่วน ๆ แยกส่วนกันที่จริงแล้วปัญหาทุกอย่างพัวพันกันหมด ต้องทำงานแบบบูรณาการ เรามัว แต่คิดว่าปัญหาเศรษฐกิจก็ต้องแก้ด้วยกลไกเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมก็ต้องแก้ไขด้วยกลไกทางสังคม ปัญหาด้านความยุติธรรมก็ต้องแก้ไขด้วยกลไกทางความยุติธรรม
แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เกิดจากต้นเหตุทางเศรษฐกิจเท่านั้น เช่น เรื่องบ่อน ส่วย การขู่กรรโชกทรัพย์นักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังทำลายชื่อเสียงของประเทศด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย เมื่อระบบยุติธรรมที่เป็นเสาหลักรองรับกติกาด้านเศรษฐกิจและการทำมาหากินกลายเป็นไม้หลักปักเลน ก็ไม่มีใครแม้แต่นายทุนไทยอยากมาลงทุนในประเทศไทยอีกต่อไป
แล้วถามว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นหน้าที่ของใคร พหุวิกฤติที่พัวพันหลายซับหลายซ้อนนั้นที่จริงแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะของทุกกระทรวงและคณะกรรมการที่สำคัญ ๆ หากนายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นำ มุ่งมั่น และมีความเข้าใจพอที่จะแก้ไขปัญหา วิกฤติทั้งหลายจะค่อย ๆ แก้ได้เป็นเปลาะเป็นเปลาะไป
แต่นักการเมืองของเราส่วนใหญ่หวังประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มีชนักติดหลังที่ต้องพึ่งกลไกที่ไร้ความยุติธรรม แต่ละคนก็เป็นวัวสันหลังหวะ มีกับดักทางกฎหมายเป็นมีดคอยจ้วงแทงอยู่ข้างหลังตลอดเวลา ปัญหาต่าง ๆ จึงไม่มีการแก้ไข ได้แต่ปล่อยให้มันค่อย ๆ จางหายไปกับเวลา
ถามว่าคนไทยรู้ไหมว่าคอร์รัปชันเราแย่แค่ไหน การที่ข้าราชการไทยไม่ยอมกลับไปขึ้นตึกทำงานหลังแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมาเป็นสัญญาณเตือนว่า แม้แต่ข้าราชการเองก็ไม่วางใจกลไกของรัฐที่จะรักษามาตรฐานความปลอดภัยในประเทศที่ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการเองยังไม่ไว้ใจกลไกของรัฐ นั่นเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลว กล่าวคือประชาชนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจว่ารัฐไทยจะสามารถส่งมอบบริการในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสุจริต เป็นธรรมและยั่งยืน
ในต่างประเทศ ความล้มเหลวของรัฐได้นำไปสู่การประท้วงบนท้องถนนและการปรับเปลี่ยนผู้นำและรัฐบาล เช่น การประท้วงที่ตูนิเซียได้ลามเป็นสถานการณ์อาหรับสปริง ในหลายประเทศที่รัฐใช้นโยบายประชานิยมจนการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว เช่น ในศรีลังกาก็นำไปสู่การขับไล่รัฐบาล ที่บังกลาเทศความอยุติธรรมของรัฐในการจ้างข้าราชการก็นำไปสู่การขับไล่ประธานาธิบดีออกจากประเทศ ขออย่าให้ประเทศไทยต้องเดินตามรอยประเทศที่กล่าวมาแล้วที่เราเคยเห็นว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าเรา
รัฐบาลไทยก็จะต้องตระหนักว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาของวิกฤติแบบเดี่ยว ๆ แต่เป็นพหุวิกฤติที่กำลังพัวพันเป็นวงล้อลวดหนามอย่างถาวรที่จะฉุดให้ประเทศจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ทุกวิกฤติที่กล่าวมาก็หนักหนาอยู่แล้ว แต่วิกฤติใหม่คือวิกฤติสงครามการค้านี้เป็นวิกฤติใหญ่หลวงนัก เราไม่ใช่ต้องการแค่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้นแต่ต้องการ ครม. ที่มีความสามารถและนายกรัฐมนตรีเองก็ต้องมีความกล้าหาญ มีความสามารถ มีภาวะผู้นำ และเห็นแก่ชาติบ้านเมืองถึงจะพาประเทศนี้รอดปากเหยี่ยวปากกาไปได้
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/environment/1178969