หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเฟ้น 14 หุ้นน่าซื้อ เน้นSector rotation กลุ่มแบงก์-ประกัน-อาหาร-เที่ยว TNN Wealth
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 17 มิ.ย. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,570 จุด แนะกลยุทธ์ Sector rotation มายังกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ ประกัน ส่งออกอาหาร และกลุ่มท่องเที่ยว ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนเมื่อวานนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยระดับมหภาคเป็นหลัก โดยเฉพาะผลการประชุม FOMC ที่รายงานการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะตอบรับเชิงบวกในวันก่อนหน้าจากแนวโน้มการปรับใช้นโยบายการเงินที่อาจตึงตัวน้อยกว่าคาดในช่วงที่เหลือของปี แต่ล่าสุดกลับมาให้น้ำหนักต่อผลกระทบจากนโยบายการเงินต่อสภาวะเศรษฐกิจและปรับเพิ่มคาดการณ์การเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน US และ EU มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจาก SET Index มากถึงระดับ 5.8 พันลบ. ในการซื้อขายวานนี้
การเคลื่อนไหวรายอุตสาหกรรมของ SET Index (1) หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวอ่อนลงมากกว่าตลาด จากปัจจัยลบเฉพาะตัวคือแผนการเพิ่มอุปทานน้ำมันสู่ตลาดโลกผ่านการนัดเจรจาระหว่างสหรัฐกับซาอุดิอาระเบียในวันที่ 13-16 ก.ค. และ (2) การปรับตัวลงของ Index เป็นลักษณะ Across the board หรือการปรับลดลงในเกือบทุก Sector จากความกดดันของปัจจัยมหภาคที่เริ่มคาดการณ์มีโอกาสสูงถึง 71% สำหรับการเกิด Recession ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายในช่วง 1Q24 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก
การประชุมฉุกเฉินของ ECB ตั้งเป้าในการยกระดับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น โดยตั้งเป้าลดช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในภูมิภาคและใกล้เคียงกับในสหรัฐอเมริกา อย่างก็ตาม ตลาดตีความเชิงลบต่อปัจจัยดังกล่าวและกลับมากังวลด้านสภาวะเศรษฐกิจของฝั่งยูโรโซนพร้อมปรับเพิ่มน้ำหนักการเกิด Default risk สำหรับประเทศที่มีอัตราหนี้สินต่อ GDP สูง อาทิ อิตาลีและสเปน – STOXX 50 และ STOXX600 ปรับตัวลดลงถึง 3.0% และ 2.5% ตามลำดับ
โดยคาดบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงวันนี้ยังผันผวนและอยู่ระหว่างการประมวลผลการประชุม FOMC และโอกาสการเกิด Recession ในสหรัฐฯ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index วันนี้ที่ระดับ 1,550-1,570 จุด ยังคงมุมมองไม่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นแต่เน้นกลยุทธ์ Sector rotation มายังกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ ประกัน ส่งออกอาหาร และกลุ่มท่องเที่ยว ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและคาดเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้าได้แก่ (1) ยอดขายบ้านมือสองสหรัฐฯ (2) ตัวเลขนำเข้า-ส่งออกไทย และ (3) ยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ
หุ้นเด่น ตัวแรกคือ SCC คาดว่ามีโอกาสเห็นการเกิด Sector Rotation จากหุ้นกลุ่มพลังงาน เข้าสู่หุ้นกลุ่ม Anti Commodities Play เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และส่งผลให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลง
SCC จะได้ประโยชน์หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีเร่งตัวขึ้น ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PBV เพียง 1.1 เท่า ให้ Dividend Yield 4% และมีปัจจัยหนุน คือการนำ SCGC เข้าจดทะเบียนใน 12 เดือนข้างหน้า คาด IPO ช่วงต้นปี 2566
หุ้นเด่น ถัดมาคือ AJ คาดว่ามีโอกาสเห็นการเกิด Sector Rotation จากหุ้นกลุ่มพลังงาน เข้าสู่หุ้นกลุ่ม Anti Commodities Play เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และส่งผลให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลง
แนวโน้มกำไรปกติ 2Q65 คาดทรงตัว QoQ จากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบส่งผลการบริหารต้นทุนได้รับผลกระทบบ้าง อย่างไรก็ตามคาดว่า 2H65 ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวหรือลดลงเป็นบวกต่อการฟื้นตัวของอัตรากำไร คาดกำไรปี 2566 เติบโต +22% YoY เป็น 706 ลบ. จาก Catalyst หลัก คือ รับรู้รายได้โรงงานที่ทำร่วมกับ SCGC ในเวียดนาม
หุ้นเด่น อีกตัวคือ SCGP คาดว่ามีโอกาสเห็นการเกิด Sector Rotation จากหุ้นกลุ่มพลังงาน เข้าสู่หุ้นกลุ่ม Anti Commodities Play เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และส่งผลให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลง
แนวโน้มกำไร 2Q65 คาดทรงตัวได้ QoQ แม้ราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นจะกดดันต้นทุน แต่บริษัทได้มีการทยอยปรับราคาขายขึ้นแล้ว รวมทั้งค่า Freight เริ่มลดลง QoQ คาดช่วยหนุนให้ GPM ของบริษัททยอยฟื้นตัว เราคาดกำไรปกติปี 2565 เติบโต +32% YoY เป็น 9.1 พันลบ.
หุ้นเด่นสุดท้าย STARK ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 4.56 บาท แนวรับ 4.36 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 4.24 บาท
ได้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจ EV Car ส่งผลให้ความต้องการใช้สายส่งเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่การเข้าซื้อธุรกิจในยุโรปช่วยต่อยอดการเติบโตระยะยาว
บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกปกคลุมด้วยความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยภาวะดังกล่าวจะตามมาด้วยการใช้นโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ล่าสุด Fed ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% มาอยู่ที่ 1.75% และคาดว่าในการประชุม 4 รอบ ที่เหลือของปีอาจเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 1.5 – 1.75% ซึ่งก็หมายความว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อครั้งในอัตรา 0.5%-0.75% ยังจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ส่วนในบ้านเราสัญญาณการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อยังชัดเจน โดยหากอยู่ บนสมมุติฐานว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าบริการ ซึ่งจะสะท้อนผ่าน CPI เพิ่มในอัตรา 0.9% ต่อเดือน เราอาจเห็นตัวเลขเงินเฟ้อในบ้านเราสูงสุดบริเวณ 10%YoY ในช่วงเดือน ส.ค.65 ภาวะดังกล่าวเป็นตัวเร่งให้ กนง. ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย
SET Index อยู่ในกรอบ 1550 - 1580 จุด พอร์ตจำลองวานนี้Stop profit BLAรับกำไร 15% Cut Loss CPALL ขาดทุน 5.5%ให้นำเงินสด 10% ซื้อ CENTEL และเพิ่มเงินสดสำรองเป็น 25% หุ้น Top Pick เลือก CENTEL, CPF และ MAJOR
หุ้นเด่น ตัวแรกคือ CENTEL ราคาเป้าหมาย 44 บาท
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ MAJOR ราคาเป้าหมาย 25 บาท
หุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ CPF ราคาเป้าหมาย 32 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET ย่อตัวในกรอบแนวรับ 1,550 จุดและแนวต้าน 1,580 จุด โดยเน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเด่น
โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ M คาดกำไรไตรมาส 2 ปี 65 เติบโต 381 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41% QoQ และพลิกจากขาดทุนหลัก 110 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 64 โดยคาด SSSG จะเติบโตสูงราว 55% YoY ผสานกับ Ebotda margin จะเพิ่มสู่ระดับ 24% อีกทั้งยังมีเงินสดในมือสูงในการทำ M&A ในอนาคต
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ ERW คาดรับประโยชน์จากภาครัฐที่กำลัง เตรียมเสนอมาตรการจูงใจด้านภาษีนิติบุคคลในสัปดาห์หน้าโดยให้บริษัทเอกชนที่นำพนักงานไปท่องเที่ยวเมืองหลักเมืองรองสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดย ERW มีรายได้ราว 10% จากโรงแรมราคาประหยัด Hop Inn โดยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองรอง
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET ปรับตัวลง โดยมีปัจจัยกดดันจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1550 และ 1535 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1580-1590 จุด ซึ่งหากขึ้นทะลุผ่านได้ จะกลับมาเป็นสัญญาณบวก
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ GFPT (ราคาเป้าหมาย 18.50 บ.) 2Q65 คาดกำไรเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ส่วนปี 65 คาดกำไรจะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มอาหาร จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เพราะยอดขายส่งออกที่ให้มาร์จิ้นสูงจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่และมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับต้นทุนที่กว้างขึ้น
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,580 จุด โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ KTB ราคาปัจจุบัน 15.50 บาท ราคาเป้าหมาย 16.5 บาท KEX ราคาปัจจุบัน 23.70 บาท ราคาเป้าหมาย 25.5 บาท และ APCS ราคาปัจจุบัน 6.65 บาท ราคาเป้าหมาย 7.3 บาท
ที่มา : บล.หยวนต้า, บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย
ภาพประกอบข่าว : AFP, TNN Online,