ห้องเม่าปีกเหล็ก

เงินเฟ้อแผ่ว แต่หุ้นเดือด! เฟดยิ้ม Bond Auction ปังสุดในรอบปี

โดย dave
เผยแพร่ :
86 views

เงินเฟ้อแผ่ว แต่หุ้นเดือด! เฟดยิ้ม Bond Auction ปังสุดในรอบปี | Podcast Available

 

ภาพรวมตลาด: คึกคักแต่ไม่ทั่วถึง

ก่อนจะไปเจาะลึกถึงสาเหตุ เรามาดูภาพรวมของตลาดหุ้นเมื่อคืนกันก่อนนะคะ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดูคึกคักเป็นพิเศษเลยค่ะ ดัชนีหลักๆ ปิดบวกกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 0.4%, Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.2% และ Nasdaq 100 ก็ขยับขึ้น 0.2% โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่สามารถปิดตลาดในระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ และเข้าใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล (All-time high) เข้าไปทุกที ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นมากค่ะ

แต่ถ้าเรามองลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นภาพที่น่าสนใจและซับซ้อนกว่านั้นค่ะ เพราะการปรับขึ้นครั้งนี้ไม่ได้เป็นการขึ้นแบบถ้วนหน้า ในขณะที่หุ้นใหญ่กำลังไปได้ดี แต่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นบริษัทขนาดเล็ก กลับปรับตัวลดลงสวนทางไป 0.4% ค่ะ นี่เป็นสัญญาณที่บอกเราว่านักลงทุนยังคงเลือกที่จะอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ที่มั่นคงกว่า และยังไม่มั่นใจที่จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นเล็กอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กลุ่มหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 ตัว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Magnificent 7 ก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก สะท้อนว่าแรงซื้อในรอบนี้มาจากหุ้นกลุ่มอื่นมากกว่า

ถ้าดูเป็นรายตัวก็จะเห็นภาพชัดขึ้นค่ะ มีดาวเด่นอย่างหุ้น Oracle ที่พุ่งทะยานทำสถิติใหม่หลังจากคาดการณ์ยอดขายธุรกิจคลาวด์ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ อย่างหุ้นกลุ่มยานยนต์ทั้ง GM, Ford และ Stellantis ที่ปรับตัวลดลงหลังมีข่าวเรื่องการขึ้นภาษี หรือหุ้นของ Boeing ที่ร่วงลงอย่างหนักหลังเกิดเหตุการณ์น่าสลดกับเครื่องบินรุ่น 787 Dreamliner ค่ะ

แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตลาดโดยรวมดูดี แต่ก็แฝงไปด้วยความแตกต่างแบบนี้ล่ะคะ? คำตอบอยู่ที่สองพระเอกขี่ม้าขาวเมื่อคืนนี้ค่ะ นั่นก็คือตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และผลการประมูลพันธบัตรที่ออกมาดีเกินคาดค่ะ

เริ่มต้นกันที่ข่าวดีที่เปรียบเสมือนแสงสว่างกลางอุโมงค์เลยนะคะ นั่นก็คือตัวเลข อัตราเงินเฟ้อ ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้มาก ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หรืออธิบายง่ายๆ มันก็คือตัวชี้วัดต้นทุนฝั่งผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการนั่นเองค่ะ โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีตัวนี้ขยับขึ้นเพียง 0.1% เท่านั้น ทั้งๆ ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%

ข้อมูลนี้สำคัญอย่างไร? มันสำคัญมากค่ะ เพราะมันเป็นสัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่ามาตรการกำแพงภาษีที่หลายคนกลัวกันว่าจะทำให้ราคาสินค้าพุ่งพรวดพราดนั้น ยังไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงในทันที เหมือนกับว่าบริษัทต่างๆ ยังคงสามารถดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไว้ได้อยู่ คุณคาร์ล ไวน์เบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก High Frequency Economics ถึงกับบอกว่า "แทบจะหาส่วนไหนในรายงานที่ราคาปรับขึ้นไม่เจอเลย"

การที่เงินเฟ้อไม่ร้อนแรงนี้ เป็นเหมือนการส่งสัญญาณไฟเขียวให้กับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ให้สามารถ "หายใจได้ทั่วท้อง" และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อมาควบคุมสถานการณ์ พูดง่ายๆ คือเฟดมีเวลาที่จะรอดูข้อมูลและประเมินผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีข่าวแบบนี้ออกมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่รอช้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเฟดควรจะลดดอกเบี้ยได้แล้ว

 

อีกหนึ่งเรื่องที่เป็นพระเอกของงานนี้คือการประมูล พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี วงเงินสูงถึง 22,000 ล้านดอลลาร์ค่ะ แอดขอเจาะลึกตรงนี้เป็นพิเศษนะคะ เพราะมันน่าสนใจมาก

ก่อนหน้านี้บรรยากาศในตลาดเต็มไปด้วยความกังวลมาหลายสัปดาห์เลยค่ะ นักลงทุนยังจำกันได้ดีถึงการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปีในเดือนพฤษภาคมที่ผลออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งครั้งนั้นได้จุดชนวนให้เกิดการเทขายพันธบัตรและดันอัตราผลตอบแทน (yield) ของพันธบัตรอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นไปสูงถึง 5.15% ดังนั้น ก่อนการประมูลครั้งนี้ทุกคนจึงจับตาดูอย่างใจจดใจจ่อว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ ท่ามกลางปัญหาหนี้สาธารณะที่บานปลายของรัฐบาลสหรัฐฯ

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงค่ะ การประมูลประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ชนิดที่เรียกว่า "หักปากกาเซียน" เลยทีเดียวค่ะ อัตราผลตอบแทนปิดที่ 4.844% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ก่อนการประมูล (ที่ 4.859%) การที่ผลตอบแทนออกมาต่ำกว่าคาดแบบนี้ ในภาษาการเงินเราเรียกว่า "stop-through" ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนยอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้นเพื่อแย่งกันซื้อพันธบัตรนี้ค่ะ

ถ้าดูไส้ในจะยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นไปอีกค่ะ สัดส่วนที่กลุ่มผู้ค้าหลักทรัพย์ (Primary Dealers) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเข้ามารับซื้อหากไม่มีใครซื้อ เหลือพันธบัตรไว้ในมือมีเพียง 11.4% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน แปลง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนตัวจริงเสียงจริงทั้งในและต่างประเทศแห่กันเข้ามาซื้อเยอะมากจนแทบไม่เหลือให้ดีลเลอร์เลย ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets บอกว่า "ไม่ได้ให้กระสุนกับเหล่า Bond Vigilantes เลยแม้แต่น้อย"

(Bond Vigilantes คือกลุ่มนักลงทุนที่คอยจับตาและจะเทขายพันธบัตรเพื่อลงโทษรัฐบาลที่ใช้จ่ายเกินตัว)

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพครบทุกด้าน นักวิเคราะห์บางส่วนอย่างคุณจอห์น คานาวาน จาก Oxford Economics ก็ยังคงเตือนว่าอย่าเพิ่งวางใจ เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อจากกำแพงภาษีอาจจะกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเขายัง "ไม่เชื่อว่าระดับ 5% จะเป็นเพดานสูงสุดของผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปี" ค่ะ แต่โดยรวมแล้ว การประมูลครั้งนี้ถือเป็น "เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก" ของวอลล์สตรีท และปูทางให้ตลาดพันธบัตรฟื้นตัวต่อไปได้

 

เมฆฝนตั้งเค้า: สัญญาณเตือนและความวุ่นวายทางการเมือง

แม้ท้องฟ้าจะดูสดใส แต่ก็เริ่มมีเมฆฝนก่อตัวขึ้นมาให้เห็นอยู่ไกลๆ โดยมีสัญญาณเตือนหลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ค่ะ

 

ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ: ข้อมูลล่าสุดน่าเป็นห่วงค่ะ จำนวนผู้ที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน "อย่างต่อเนื่อง" พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.96 ล้านราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2021 เลยทีเดียว สิ่งนี้บอกเราว่า คนที่ตกงานไปแล้ว กำลังใช้เวลานานขึ้นในการหางานใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg ที่ว่า "บรรดานายจ้างกำลังระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้มีอัตราการจ้างงานที่ค่อนข้างอ่อนแอ"

 

ความไม่แน่นอนจากนโยบายและสภา: นอกจากการเปรยว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ และการลงนามยกเลิกกฎหมายแบนรถยนต์สันดาปของแคลิฟอร์เนียแล้ว อีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในสภาสหรัฐฯ และต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือการผ่าน ร่างกฎหมายตัดลดงบประมาณรัฐบาลกลางก้อนใหญ่ ค่ะ

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้อนุมัติร่างกฎหมายตัดลดงบประมาณมูลค่า 9,400 ล้านดอลลาร์ไปแบบฉิวเฉียดด้วยคะแนน 214 ต่อ 212 เสียง ร่างกฎหมายนี้เป็นผลงานของหน่วยงานใหม่ที่ชื่อว่า DOGE (Department of Government Efficiency) ซึ่งนำโดยอีลอน มัสก์ มีเป้าหมายเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของรัฐบาล

งบประมาณที่ถูกหั่นออกไปนั้นกระทบหลายส่วนที่น่าสนใจค่ะ เช่น งบประมาณสำหรับองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID), สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ และที่สำคัญคือ การตัดเงินทุนสนับสนุนสถานีโทรทัศน์สาธารณะ (PBS) และวิทยุสาธารณะแห่งชาติ (NPR) ซึ่งเป็นสื่อที่มักถูกฝ่ายอนุรักษนิยมวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด การตัดงบส่วนนี้อาจทำให้สถานีท้องถิ่นเล็กๆ หลายแห่งต้องปิดตัวลง

แม้จะผ่านสภาล่างไปได้ แต่เส้นทางของร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่แน่นอนนะคะ เพราะยังต้องไปเจอ "ด่านหิน" ในวุฒิสภา ซึ่งส.ว. สายกลางหลายคนแสดงความกังวลและอาจจะพยายามแก้ไขเพื่อไม่ให้มีการตัดงบประมาณบางส่วนออกไป โดยเฉพาะงบประมาณโครงการต่อต้านโรคเอดส์ในต่างประเทศ (PEPFAR) ที่ริเริ่มโดยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช

 

ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุ (เจาะลึกกรณีอิหร่าน): สถานการณ์ในตะวันออกกลางกลับมาร้อนระอุและน่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอล

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวด้วยตัวเองว่า อิสราเอล "มีความเป็นไปได้อย่างมาก" ที่จะเปิดฉากโจมตีอิหร่าน แต่เขาก็ได้แนะนำไปว่าไม่ควรทำในระหว่างที่การเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ยังดำเนินอยู่ ทรัมป์ย้ำว่าเขาต้องการ "วิธีแก้ปัญหาทางการทูต" แต่ก็ตั้งเงื่อนไขที่เด็ดขาดว่า อิหร่าน "จะต้องล้มเลิกความหวังที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง"

สถานการณ์ทวีความตึงเครียดขึ้นเมื่ออิหร่านประกาศว่าจะตอบโต้การที่ UN ตำหนิโครงการนิวเคลียร์ของตน ด้วยการ "เปิดโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมแห่งใหม่" ซึ่งเป็นการกระทำที่ท้าทายอย่างยิ่ง

ความน่ากังวลถูกสะท้อนผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมของสหรัฐฯ ค่ะ โดยรัฐบาลได้สั่งให้เจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากสถานทูตในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก และยังจำกัดการเดินทางของเจ้าหน้าที่รัฐบาลและครอบครัวในอิสราเอล ไม่ให้ออกนอกเมืองใหญ่ๆ อย่างเทลอาวีฟและเยรูซาเล็ม

โดยทรัมป์ให้เหตุผลถึงการอพยพคนออกว่า "เราต้องบอกให้พวกเขาออกมา เพราะบางอย่างอาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และผมไม่อยากเป็นคนที่ไม่เตือนในขณะที่ขีปนาวุธกำลังจะปลิวว่อน" ซึ่งเป็นคำพูดที่น่าตกใจมากค่ะ

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือท่าทีของอิสราเอลเอง ซึ่งประกาศชัดเจนว่า "ขอสงวนสิทธิ์ในการโจมตีอิหร่าน ไม่ว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนหรือไม่ก็ตาม" และยังมีรายงานข่าวจาก CBS News ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้รับแจ้งว่า "อิสราเอลพร้อมที่จะเปิดปฏิบัติการในอิหร่านแล้ว" สถานการณ์จึงเปราะบางอย่างยิ่งและอาจเกิด "ความขัดแย้งครั้งใหญ่" ได้ทุกเมื่อตามที่ทรัมป์กล่าวไว้

 

นักลงทุนคิดอย่างไร? มุมมองที่แตกต่างและพฤติกรรม "คนใน"

ท่ามกลางข้อมูลที่หลากหลายนี้ นักลงทุนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไปค่ะ Ned Davis Research ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ชื่อดัง ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปีขึ้นเป็น 6,350 จุด สะท้อนความเชื่อมั่นว่าตลาดยังไปต่อได้

ในขณะที่ Cathie Woodจาก ARK Investment Management ก็มองว่าบริษัทในอเมริกาเริ่มกลับมามีความกล้าที่จะเสี่ยงลงทุนมากขึ้นจากความคาดหวังในนโยบายลดหย่อนภาษีและกฎระเบียบต่างๆ

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็มีสัญญาณที่น่าขบคิดค่ะ ข้อมูลชี้ว่า "ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างหุ้นกับพันธบัตร" (Equity Risk Premium) อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี แปลง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้การลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่น่าดึงดูดใจน้อยลงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร

และที่น่าสนใจที่สุด คือพฤติกรรมของ "คนใน" หรือบรรดาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ค่ะ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยกำลังชื่นมื่นกับตลาดขาขึ้น แต่ข้อมูลกลับแสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้บริหารกำลังเทขายหุ้นของบริษัทตัวเองออกมาในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โดยมีผู้ขายมากถึง 778 คน เทียบกับผู้ซื้อเพียง 200 คนเท่านั้น นี่เป็นสัญญาณที่บอกเป็นนัยๆ ว่าคนที่รู้ข้อมูลวงในที่สุด อาจจะมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเกินไปแล้วก็เป็นได้ค่ะ

 

สรุปและความเห็นส่วนตัว

โดยสรุปแล้ว ณ ตอนนี้สถานการณ์คร่าวๆ คือ เงินเฟ้อยังไม่มา ตลาดแรงงานเริ่ม cool down ลงอย่างช้าๆ ขณะที่การประมูลพันธบัตรก็ผ่านไปได้ด้วยดีแบบขัดใจกองแช่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากนี้ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องหนี้และร่างงบประมาณของสหรัฐฯ ค่ะ ที่พร้อมจะเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดได้ทุกเมื่อจนกว่ามันจะผ่าน ส.ว. ค่ะ

ส่วนเรื่อง สงครามการค้า แอดไม่ได้ห่วงอะไรมากแล้ว เพราะตอนนี้คุยกับจีนรู้เรื่อง ส่วนประเทศอื่นๆ น่าจะไปสรุปดีลกันที่การประชุม G7 หรือไม่ก็ทัน deadline (หมายถึงประเทศสำคัญๆ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน) โดยตอนนี้น่าจะมีแค่ EU ที่อาจจะไม่ทันเท่านั้นค่ะ

ประเทศยิบๆ ย่อยๆ ไม่นับนะคะ ดูเหมือนทรัมป์แม่งไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำค่ะ

 

อย่างที่บอกคือ ตอนนี้ตลาดใกล้ ATH แล้ว ก็ไม่ต้องรีบซื้อตามมากนักค่ะ เพราะเรายังมีการประชุมเฟดรออยู่สัปดาห์หน้า และเรากำลังขยับเข้าใกล้ deadline วันที่ 9 กรกฎาคมเรื่อยๆ ค่ะ

 

 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก… เพจ Beauty Investor


dave