เกิดอะไรขึ้น? กับตลาดหุ้นไทย
ทำไมโดน ต่างชาติขายสุทธิมากที่สุด!

.
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ และยังคงต้องตามต่อเนื่อง อย่างนักลงทุนต่างประเทศ ที่เปิดปี 2567 ไม่ถึงเดือนก็ยังเทขายหุ้นไทยแบบไม่หยุดหย่อน หากนับย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (26 ม.ค.2567) ต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 28,676.71 ล้านบาท โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เข้าซื้อสุทธิเพียง 2 วันเท่านั้น
.
และดูเหมือนว่านักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นไทย เป็นประเทศเดียว เมื่อเทียบจากประเทศแถบๆ เพื่อนบ้าน สะท้อนจาก บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นับย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 807.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
ขณะที่เข้าซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นไต้หวัน 1,264.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ 1,986.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 372.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ 77.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ เวียดนาม 44.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อนักลงทุนต่างชาติไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีใจความว่า นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยที่ 9.75 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2556 และยังมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิใน 8 ปี จาก 10 ปีที่ผ่านมา
.
ตลาดคาดการณ์ถึงหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน, สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง, การลงทุนที่หายไป, ประชากรสูงวัยและการสูญเสียข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรม
.
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยมีความเห็นตรงกัน แต่เชื่อว่าสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ขาดหายไป Bloomberg consensus คาดว่า market EPS ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 88 บาท ในปี 2556 และ 85 บาท ในปี 2566 หรือบ่งชี้ถึงการเติบโตที่คงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
.
ขณะที่ SET Index เคลื่อนไหวออกด้านข้างอยู่ระหว่าง 1,000-1,800 จุด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทียบกับระดับปัจจุบันที่ 1,380 จุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยและลงทุนในตลาดประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าเพื่อจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า
.
อีกทั้งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังเทขายหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกปีนี้ จาก downside ต่อกำไรสุทธิปี 2567 ผลจากสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง, การบริโภคที่อ่อนแอ, จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้า และรัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวัง
.
ขณะเดียวกันคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2567 และ Fed pivot จะเริ่มต้นทุนขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงและเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด
.
ดังนั้นคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะหยุดขาย และอาจเริ่มกลับมาสะสมหุ้นไทยเมื่อ market EPS ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนในปี 2559 และ 2565
.
บล.เอเซีย พลัส คาดแรงขายอาจจะชะลอ
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ต่างชาติขายหุ้นไทยหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นการขายสุทธิในปี 2566 ที่ 1.92 แสนล้านบาท และขายสุทธินับจากต้นปี 2567 ถึงปัจจุบันในปีราว 2.9 หมื่นล้านบาท
.
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงบ้างจาก 2 ปัจจัยดังนี้ 1. ยอดซื้อสะสมของต่างชาติในปี 2565 ที่ 2.03 แสนล้านบาท ถูกขายสุทธิออกมาในปี 2566 ถึงปี 2567 (นับจากต้นถึงปัจจุบัน) หมดแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าต่างชาติจะขายสุทธิต่ออาจจะต้องเป็นต้นทุนเก่าก่อนปี 2565 ทำให้เชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติจะมีจำกัดมากขึ้น
.
2.J.P. Morgan ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทย เป็น “เพิ่มน้ำหนัก” พร้อมกับให้เป้าหมายปี 2567 ที่ 1,700 จุด ซึ่งในปี 2566 ถึงปี 2567 (นับจากต้นถึงปัจจุบัน) ต่างชาติขายสุทธิผ่านโบรกเกอร์ J.P. Morgan สูงถึง 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ทั้งหมด
.
แต่ด้วยมุมมองของโบรกเกอร์ที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย อาจช่วยหนุนให้การขายสุทธิของต่างชาติผ่าน J.P. Morgan อาจลดน้อยลง และมีโอกาสสลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง ดังนั้นแม้ Fund Flow จะยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 16 วันทำการ แต่ฝ่าย วิจัยฯ ประเมินว่า การไหลออกของ Fund Flow หลังจากนี้มีโอกาสชะลอลงบ้าง