ไมเนอร์'ลุยแผน5ปีเปิดแนวรบต่างประเทศ
“ไมเนอร์” กลุ่มโรงแรมจากไทยที่เติบโตจนก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย จากการมีโรงแรมมากที่สุด
ไมเนอร์วางกลยุทธ์ 5 ปีจากนี้ ยังรุกสร้างการเติบโตทั้งด้านการลงทุนและรับบริหาร ด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ วางเป้าหมายใหญ่ในการเทียบชั้นแบรนด์ “ระดับโลก” ในแง่คุณภาพ ด้วยการนำชื่อเสียงของ “Thai Hospitality” เป็นหัวหอกรุกตลาด ภายใต้ 5 แบรนด์หลัก อนันตรา, อวานี, ทิโวลี, โอ๊คส์ และเอเลวาน่า
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ และ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นเชนโรงแรมไทย ที่ผ่านมาแสดงบทบาทเป็น “ผู้บุกเบิก” ขยายธุรกิจในหลายพื้นที่ เป็นรายแรกที่เปิดธุรกิจในมัลดีฟส์, ยุโรป, ตะวันออกกลาง, อเมริกาใต้ และจะยังคงมองหาโอกาสในจุดหมายท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นต่อเนื่อง
“แบรนด์อนันตราที่เป็นของไมเนอร์เอง มีอายุ 16 ปี แต่ล่าสุดได้รับการจัดอันดับเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดอันดับ 6 ของโลกแล้ว ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการเป็นผู้เล่นระดับโลก ที่สร้างชื่อในเชิงคุณภาพของแบรนด์ เราไม่อาจจะขยายเป็นหลักแสนเหมือนเชนใหญ่ ที่มีการควบรวมกิจการกัน แต่จะใช้เอกลักษณ์ และความใกล้ชิดกับนักลงทุน รักษามาตรฐานแบรนด์ที่ดี ในการขยายไปทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้และการเติบโต”
ปัจจุบันไมเนอร์มีโรงแรม 154 แห่งใน 24 ประเทศ แต่ภายในปี 2564 จะเพิ่มเป็น 250 โรงแรมใน 32 ประเทศ มีธุรกิจเรสซิเดนซ์ 300 ยูนิต และโรงแรมประเภทไทม์แชร์อีกมากกว่า 450 ยูนิต เบื้องต้นแบ่งเป็นโครงการโรงแรมที่ลงทุนใหม่เอง 6 แห่ง (625 ห้อง) ภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์ (3,400 ล้านบาท) ทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่ปีนี้ถึงปี 2563 ได้แก่ อินเดีย, เวียดนาม, มาเลเซีย และที่เขาหลักในไทย
ขณะที่กลุ่มเรสซิเดนซ์ มีโครงการที่เป็นไฮไลท์ ได้แก่ การร่วมทุนสร้างโปรเจคต์หรู “อวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา” สร้างวิลล่า 16 ยูนิต มูลค่าขายรวมกว่า 6,000 ล้านบาท เตรียมเปิดในปี 2561 เพื่อจับตลาดซื้อระดับท็อปเอนด์ ซึ่งพบว่าเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นส่งผลให้กลุ่มคนรายได้ระดับกลางขยับฐานะขึ้นมาก และมีความต้องการเป็นเจ้าของที่พักหรูที่มีมาตรฐานบริการอย่างโรงแรม พร้อมกับมีบริการนำวิลล่าไปบริหารหารายได้ ระหว่างที่เจ้าของไม่ได้เข้าพักด้วย
หลังจากนี้ ยังมีแผนบุกตลาดเรสซิเดนซ์ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 แห่ง ที่กรุงเทพฯ, ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนทุกแห่ง จะยึดแนวทางสร้างในบริเวณใกล้กับโรงแรมในเครือ เพื่อเอื้อให้เกิดการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันเป็นจุดขายที่เหนือกว่าเรสซิเดนซ์หรูทั่วไป ตามแผนระยะ 5 ปีที่วางไว้ การมีจำนวนโรงแรมเพิ่มเกือบจะเท่าตัว รวมถึงการลงทุนโครงการก่อนหน้านี้ที่จะเริ่มเห็นดอกผลเมื่อทยอยเปิดให้บริการเต็มที่แล้ว จะทำให้กำไรสุทธิในปี 2564 มีอัตราเติบโต 20% พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศจาก 54% เป็น 68% ขณะที่สัดส่วนรายได้ในไทยลดส่วนแบ่งจาก 46% เหลือ 32%
การขยายธุรกิจในไทยไม่ได้ลดลง เพราะจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวด้านท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตต่อเนื่อง แต่สาเหตุที่ส่วนแบ่งน้อยลง เพราะไมเนอร์มีแผนเชิงรุกต่างประเทศที่สร้างการเติบโตรวดเร็ว ทั้งนี้ วางเป้าหมายการรับบริหารโรงแรมเพิ่มมากกว่า 100 แห่งขึ้นไปภายในปี 2564
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับโครงสร้างรายได้ปัจจุบัน รายได้รับบริหารโรงแรมมีส่วนแบ่งราว 4% เท่านั้น แต่หากขยายการรับบริหารได้ถึง 100 โรงแรม จะเติบโตกว่า 3 เท่าตัวมาเป็น 15% ในอีก 5 ปี ขณะที่รายได้จากโรงแรมที่ลงทุนเอง (Owned Hotels) จะยังรักษาสัดส่วนไว้ที่ราว 50% เท่าปัจจุบัน เช่นเดียวกับรายได้จากโรงแรมโอ๊คส์ ที่ประเมินส่วนแบ่ง 20% เท่าเดิม ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ปรับลดจาก 25% เป็น 20%
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในระยะ 5 ปีที่วางไว้ แบ่งเป็นปี 2560 ราว 1.2 หมื่นล้านบาท, ปี 2561 ราว 8 พันล้านบาท ส่วนปี 2562 และ 2563 ปีละ 7 พันล้านบาท โดยยังคงมองโอกาสในการ “ซื้อกิจการ” กลุ่มโรงแรมที่มีชื่อเสียงและการรับรู้ที่ดีในตลาดซึ่งต้องการเข้าไปอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้มีแบรนด์แข็งแกร่งเพิ่มในกลุ่มโรงแรมไมเนอร์ทันที และให้ผลลัพธ์การเติบโตที่รวดเร็วกว่าการมาสร้างแบรนด์เองที่ต้องใช้เวลาพอสมควร
จะเห็นได้จากการซื้อกิจการโรงแรมทิโวลี จากโปรตุเกสที่มีอายุเก่าแก่กว่า 85 ปี และเป็นที่รู้จักในยุโรปดีอยู่แล้ว ในปีนี้จะเริ่มเข้ามาเป็นกุญแจหลักในการผลักดันรายได้ เนื่องจากทั้ง 12 แห่งในโปรตุเกสและบราซิล มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ดีราว 75-80% และคาดว่าปีหน้าจะเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ขึ้นได้อีก 10-15% เป็นผลมาจากการที่โปรตุเกส เป็นจุดหมายที่ชาวยุโรปให้ความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะที่สภาพเศรษฐกิจในยุโรปปรับดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยอมรับว่าภายในปีหน้าอาจเห็นการนำแบรนด์โอ๊คส์ ขยายกิจการในรูปแบบ “แฟรนไชส์” ด้วย ซึ่งหากดำเนินกลยุทธ์นี้จะต้องมั่นใจว่ามีความพร้อมในการรักษามาตรฐานบริการให้ได้ก่อน
สำหรับธุรกิจโรงแรมในไทยครึ่งปีแรก คาดว่าการเติบโตของอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 12-15% โดยมีความหวังในไตรมาส 4 ที่คาดว่าจะเติบโตสูง และส่งผลให้ตลอดปีมีอัตราเข้าพักเพิ่มขึ้นสูงกว่า 10% ขึ้นไป ขณะที่ราคาเฉลี่ยห้องพัก อาจจะเพิ่มได้ในระดับใกล้เคียง 10%
มองแนวโน้มธุรกิจโรงแรมเติบโตสดใส ในไทยยังมีทุนต่างประเทศ เช่น จีน ให้ความสนใจจำนวนมาก ส่วนต่างประเทศ มีโอกาสจากการเข้าไปจับจองโรงแรมในทำเลที่โดดเด่น เช่น ในแซมเบียที่มี 2 โรงแรมใกล้กับน้ำตกวิกตอเรีย ที่เป็นไฮไลท์แห่งหนึ่งของการท่องเที่ยวแอฟริกา และการเปิดโรงแรมใหม่อนันตรา อัล จาบัล อัคห์ดาร์ รีสอร์ท ซึ่อยู่บนพื้นที่สูงสุดในตะวันออกกลาง ในประเทศโอมาน เป็นต้น
แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์