เด็กอายุ 13 ขวบ ถาม Warren Buffett กับ Charlie Munger ว่า มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการอดทนรอคอยได้ (delayed gratification)
delayed gratification คือการที่เรารู้จักอดทนรอคอย ยับยั้งชั่งใจ ไม่ตักตวงความสุขตรงหน้า เพื่อรอรางวัลหรือความสุขในอนาคต
ตัวอย่างเช่น ไม่เล่นเกมส์ช่วงเตรียมสอบ ซึ่งเป็นความสุขเฉพาะหน้า แต่ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ตัวเองได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำในอนาคต
หรือการยับยั้งใจตัวเองไม่ซื้อมือถือรุ่นใหม่ แต่ออมเงินและลงทุนเพื่อที่ตัวเองจะได้มีเงินพอใช้ตอนแก่
หรือการห้ามใจไม่กินขนมหวาน เพื่อที่ตัวเราในอนาคตจะได้มีสุขภาพดี
Walter Mischel นักจิตวิทยาและอาจารย์ที่ Stanford University ในขณะนั้น ได้ทำการทดลอง Marshmallow Experiment ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และต้นทศวรรษที่ 1970 กับเด็กกว่า 600 คน และติดตามชีวิตเด็กเหล่านี้ต่อไปอีกหลายปี
ในการทดลองนี้ ผู้ทดลองจะให้ขนมกับเด็กคนละหนึ่งชิ้น และบอกเด็กว่า ถ้าเด็กไม่กินขนม และรอจนผู้ทดลองกลับมาที่ห้อง (ประมาณ 15 นาที) เด็กจะได้ขนมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชิ้น
Walter Mischel พบว่า เด็กราวๆ หนึ่งในสามที่อดทนรอจนได้กิน marshmallow 2 ชิ้น เมื่อโตไป จะมีคะแนนสอบดีกว่า รูปร่างและสุขภาพดีกว่า ชีวิตด้านอื่นๆ ก็ดีกว่า
ในงานประชุม Munger ซึ่งมีลูก 8 คน ตอบเด็กไปว่า เขาคิดว่า เรื่อง delayed gratification ไม่สามารถสอนกันได้ ถ้าจะเป็นก็เป็นมาตั้งแต่เกิด
แต่ในหนังสือ The Marshmallow Test อาจารย์ Walter Mischel ให้แนวทางในการพัฒนาเด็กให้มีความสามารถในการอดทนรอคอยไว้ดังนี้ :
1. ช่วงท้องและช่วงเด็กอายุสองสามปีแรก อย่าให้เด็กเจอความเครียดสูงๆ และยาวนาน
ขั้นแรก พ่อแม่ต้องพยามยามลดระดับความเครียดของตัวเองก่อนเลย
2. เริ่มต้นตั้งแต่ขวบปีแรก พยายามสอนให้เด็กรู้จักหันเหความสนใจไปจากเรื่องน่าหงุดหงิด
3. สนับสนุนช่วยเหลือเด็ก แต่ก็ปล่อยให้เด็กตัดสินใจด้วยตัวเองด้วย
สอนลูกว่า เขามีทางเลือกที่เขาเลือกได้ และแต่ละทางเลือกจะมีผลที่ตามมา
สอนลูกว่า ทางเลือกที่ดีจะนำไปสู่ผลลัพธ์ดีๆ ทางเลือกที่แย่จะนำไปสู่ผลลัพธ์แย่ๆ
4. สอนเด็กให้พัฒนาทัศนคติเรื่อง การเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
แทนที่จะชมลูกว่าได้เกรดดีหรือฉลาด ให้ชมลูกว่า ลูกพยายามเต็มที่
5. อยากให้ลูกเป็นแบบไหน ทำตัวอย่างให้ลูกดู ทุกทัศนคติ การกระทำ ความรู้สึกของพ่อแม่จะส่งผลกับลูกอย่างมาก
6. ใช้นิทานหรือเรื่องเล่าสอนลูกให้เห็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมดีๆและพฤติกรรมแย่ๆ
ใช้เรื่องเล่าสอนลูกเรื่องการตัดสินใจ การจัดการกับความโกรธ การจัดการกับอุปสรรค และอื่นๆ
กลยุทธ์ที่จะช่วยให้เราอดทนรอคอยมีหลายอย่าง เช่น
- การหันเหความสนใจไปจากตัวกระตุ้น ด้วยการคิดเรื่องอื่นหรือหาอะไรทำแทน
- การหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอตัวกระตุ้น เช่น ไม่ซื้อขนมเก็บไว้ในบ้าน ไม่เดินผ่านหน้าร้านขนม
- การวางแผนล่วงหน้า เช่น พอถึง 5 โมงเย็นปุ๊ป จะออกไปวิ่งทันที
- การนึกภาพของผลเสียจากการตักตวงความสุขตรงหน้าให้ชัดๆ เช่น นึกถึงภาพตัวเองที่มีรูปร่างอ้วน เป็นเบาหวาน ความดัน ตอนอยากจะกินขนม
- การนึกภาพของผลดีจากรอคอยความสุขในอนาคตให้ชัดๆ เช่น การมีเงินพอใช้แบบไม่ต้องกังวลตอนแก่ การมีสุขภาพดีไปเที่ยวได้ตอนอายุมาก
กลับมาที่คำถาม หลายคนอาจจะคิดว่า Buffett น่าจะตอบว่า ให้ประหยัด เก็บเงินเยอะๆ ไปลงทุน จะได้รวย
แต่ไม่ใช่เลย Buffett พูดว่า "ความอดทนรอคอยเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การรู้ว่า ตอนไหนควรใช้เงินก็สำคัญเช่นกัน"
เขาพูดต่อว่า "ผมไม่ได้คิดว่า การเก็บเงินคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกครอบครัวทุกสถานการณ์"
Buffett ยกตัวอย่างเสริมว่า การไม่พาครอบครัวไปเที่ยว Disney World สองวัน เพื่อเก็บเงินไว้ให้พอไปเที่ยวทั้งอาทิตย์ในอีก 30 ปีข้างหน้า อาจจะไม่ใช่สิ่งควรทำ การใช้เวลากับบางอย่างที่มีความหมายมันคุ้มค่าเงิน
เขาบอกว่า กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
Buffett อาจจะกลัวว่า เดี๋ยวคนจะใช้เงินกันใหญ่เลยคราวนี้ เขาเลยพูดต่อว่า ตัวเขาเองจะใช้เงิน 2-3 เซ็นต์ จากเงิน 1 ดอลลาห์ที่เขามี กับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
เขาพูดตบท้ายว่า ถ้าคุณไม่มีความสุขตอนมีเงิน $50000 หรือ $100000 คุณจะไม่ได้มีความสุขมากขึ้นตอนมีเงิน $50 ล้านหรอก
อย่ายึดติดกับการอดทนรอคอยมากจนเกินไป
คำตอบของ Buffett ตรงกับสิ่งที่อาจารย์ Walter Mischel เขียนไว้ในช่วงท้ายๆ ของหนังสือ :
ชีวิตที่มัวแต่รอคอยความรื่นรมย์หรือรางวัลไปเรื่อยๆ น่าเศร้าไม่ต่างไปจากชีวิตที่เน้นแต่การหาความรื่นรมย์ในปัจจุบัน
ความท้าทายก็คือ การรู้ว่า เมื่อไหร่เราควรเลือกที่จะรอ และเมื่อไหร่เราควรเลือกที่จะไม่รอ
แต่ก่อนที่เราจะเลือกรอหรือไม่รอได้นั้น เราต้องรอให้เป็นก่อน cr Pornchai Rattananontachaisook