ที่มาภาพ : time.com/money
John C. Bogle มีชื่อเต็มๆว่า จอห์น คลิฟตั้น โบเกิล แต่เพื่อนๆของเขามักจะเรียกว่าแจ๊ค โบเกิล เขาเป็นนักลงทุนชาวอเมริกาเกิดเมื่อปี 1929 มีชื่อเสียงมากเพราะได้เปลี่ยนวิถีการลงทุนแบบจริงๆจังๆ คือการลงทุนแบบเชิงรุก มาเป็นการลงทุนเชิงรับ คือซื้อกองทุนที่อิงดัชนีไปกับตลาด อีกทั้งเขายังก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน The Vanguard Group. ที่มีชื่อเสียงมาก อีกทั้งวอเร็น บัฟเฟตต์ ยังให้การยอมรับว่า "เขาคือฮีโร่ของชาวอเมริกาอย่างแท้จริง"
จอห์น โบเกิล เกิดที่รัฐนิวเจอร์ซีส์ ท่ามกลางครอบครัวมีอันจะกินของตระกูลโบเกิล พ่อของเขาชื่อ ยาเตส โบเกิล จูเนียร์ และแม่ของเขาคือ โจเซฟินส์ ลอร์เลนซ์ ฮิฟกิ้น
พ่อแม่ของเขาได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression ช่วงปี 1929 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่กี่ปี พ่อแม่ของเขาสูญเสียเงินไปมากกับการดำรงชีพในช่วงสงครามและสภาวะข้าวยากหมากแพง ในที่สุดก็ต้องจำใจขายบ้านซึ่งเป็นทรัพย์สินสุดท้ายของครอบครัวไป เหตุการณ์นี้ทำให้พ่อของเขาผิดหวังกลายเป็นโรคซึมเศร้าและติดเหล้าอย่างหนักไม่ทำงานทำการ สุดท้ายพ่อแม่ของเขาก็หย่าร้างกัน
โบเกิลได้เข้าเรียนที่โรงเรียน Manasquan High school และสอบชิงทุนเข้าโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงอย่าง Blair Academy ตอนที่เขาเรียนอยู่นั้นเขามีความโดดเด่นทางด้านคณิตศาสตร์ ต่อมาเขาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพรินซ์ตั้น สาขาเศรษฐกิจและการลงทุน ก่อนจะเรียนจบเขาทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องการวิเคราะห์ภาพของกองทุนรวมและลงทุนอย่างไรในกองทุนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งถือเป็นการทำรายงานแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน งานวิจัยของเขาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยเพราะส่วนใหญ่อาจารย์เหล่านั้นมักจะคิดว่าคนที่ทำงานในสายผู้จัดการกองทุนรวมเป็นพวกฉลาดและมีความรู้ความสามารถไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบอะไรมากมาย แต่หลังจากงานของโบเกิลครั้งนั้นทำให้มองเห็นภาพเลยว่ากว่า 90% ของผู้จัดการกองทุนรวมแพ้ตลาด! .....
หลังจากเขาเรียนจบแล้วโบเกิลทำงานที่ Wellington Fund ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การทำงานเพียงแค่ 3 ปีจากเด็กใหม่กลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนโดยมีหน้าที่วิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เขาเป็นที่จับตามองของเพื่อนร่วมงานมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียดในเวลาเดียวกัน
วอเธอร์ แอล มอร์แกน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Wellington Fund เคยกล่าวยกย่องโบเกิล ในวัย 30 ปีว่า "เขารู้ในสายงานกองทุนมากกว่าผมซึ่งเป็นเจ้าของซะอีก" ซึ่งการออกมายกย่องเด็กอายุน้อยขนาดนี้ทำให้แจ็คเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อนร่วมงาน ต่อมาไม่นานเขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Wellington Fund ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมกองทุนรวมร้อนแรงมาก เพราะเป็นยุค go-go fund (คือยุคที่ตลาดหุ้นขาขึ้น คนเลยนิยมลงทุนในกองทุนรวม ตลาดขาขึ้น หุ้นทุกตัวขึ้นทั้งหมด ทำให้ยุคนั้นมีคนเป็นผู้จัดการกองทุนตั้งแต่อายุยังน้อยจำนวนมาก) ... Wellington Fund จึงมีนโยบายควบรวมกับกองทุนขนาดเล็ก ซึ่งบริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์จำนวนมาก สาเหตุนี้เองทำให้โบเกิลยิ่งเป็นที่เกลียดชังของกลุ่มคนจำนวนมาก กองทุนของ Wellington Fund ทำผลงานออกมาได้ดีมากจนกระทั่งตลาดถล่มลงมาอย่างรุนแรงในปี 1974 โบเกิลก็โดนไล่ออกเพราะโดนคนที่เกลียดชังกดดัน อีกทั้งผลงานก็ทำออกมาไม่ดีด้วย นี้ถือเป็นความอับอายของโบเกิล แต่เขาก็มาคิดได้ภายหลังว่า "ความอับอายที่เกิดจากการทำสิ่งที่ผิดพลาด คือตัวสะท้อนว่าคุณเชื่อมั่นและยืนยัดในความคิดของคุณมากแค่ไหน"
หลังจากที่เขาโดนไล่ออกในปี 1974 ไม่กี่เดือนต่อมาเขาก่อตั้งบริษัท Vanguard Company โดยใส่หลักการของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดและสร้างกองทุนเลียนแบบดัชนี ให้สามารถเกาะติดผลตอบแทนไปพร้อมกับตลาดหุ้น โบเกิลมีความเชื่อว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นถ้าเราต้องเสียเวลาและพลังในการค้นหา ทำไมเราไม่ซื้อมันทั้งดัชนีไปเลยละ หลักการนี้เป็นที่เข้าใจได้ง่ายกว่าหลักการลงทุนทางเทคนิคเคิล เส้นกราฟ และการลงทุนเน้นคุณค่าที่ต้องอิงกับตัวเลขทางบัญชีมากจนเกินไป คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะลงทุนไปพร้อมกับดัชนี ถึงกับมีคำพูดกองทุนใน Vanguard ว่า "กองทุนที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนมาก" (average fund for average person) แต่คำพูดนี้ก็ได้กลายเป็นคำพูดที่ดูถูกดูแคลนในภายหลังว่า "คนธรรมดาก็ต้องเหมาะกับผลตอบแทนธรรมดา"
การจัดตั้งบริษัทในช่วงแรกเป็นเรื่องยากลำบากมาก เพราะแนวคิดของโบเกิลคือการลงทุนเชิงรับและเลียนแบบดัชนีที่แสนน่าเบื่อ
ในปี 1976 เขาได้อ่านงานเขียนและได้รับการช่วยเหลือจากศาสตร์จารย์พอล ซามูเอลสัน จากมหาวิทยาลัย MIT โดยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่อิงกับดัชนี S&P500 โบเกิลได้กับไปศึกษาและทดลองย้อนกลับ (Backtesting) โดยใช้ข้อมูล 30 ปีย้อนหลังผลปรากฏว่า เราสามารถสร้างเงิน 1 ล้านเหรียญให้กลายเป็นเงิน 25 ล้านเหรียญในระยะเวลา 30 ปี ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่งดงามสำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถ และนั่นทำให้โบเกิลสามารถตั้งกองทุนดัชนีกองแรกของโลก ได้สำเร็จ ชื่อว่า “Vanguard 500 Index Fund”
เปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกองทุน และดัชนี S&P500
ที่มาภาพ : The Motley Fool
ช่วงแรกที่ Vanguard 500 Index Fund ออกขายสู่สาธารณะชน มีจุดเด่น คือ คิดค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากเพียง 0.25% ในขณะที่กองทุนมีลักษณะเชิงรุกและมีผู้จัดการกองทุนที่คอยจับตาดูหุ้นตลอดเวลาจะมีค่าธรรมเนียมที่ 1.5-2.5%
ในระยะยาว กองทุนของ Vanguard 500 Index Fund สร้างผลตอบแทนน่าประทับใจและชนะกองทุนส่วนใหญ่ที่มีผลตอบแทนขึ้นๆลงๆ ในปี 2017 งานประชุมผู้ถือหุ้นเบิร์กไซด์ฮาธาเวย์ของวอเร็น บัฟเฟตต์ กล่าวยกย่องโบเกิล เอาไว้ว่า "ฮีโร่"ผู้ช่วยคนอเมริกานับล้านคนให้มีเงินออมแบบเป็นล้ำเป็นสัน
และนี้ก็เป็นประวัติ ฮีโร่ของชาวอเมริกาที่คิดค้นการลงทุนเลียนแบบดัชนี ตอนต่อไปเราจะมาพูดถึงหลักการลงทุนของ John C. Bogle กันครับ ...
-----------------------------------------
เขียนและแปลโดย SiTh LoRd PaCk
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.fool.com/investing/general/2015/07/23/vanguard-500-index-fund-low-cost-but-are-there-bet.aspx
http://time.com/money/3956351/jack-bogle-index-fund/
https://clubvi.com/tag/john-bogle/
https://www.investopedia.com/university/greatest/johnbogle.asp
http://stoxifyapp.com/th/2016/09/01//john-c-bogle-สูตรลับโครตตำนานกองท/
https://en.wikipedia.org/wiki/John_C._Bogle