เมื่อหุ้นไทยอ่อนแอสุดในโลก ภาพสะท้อนนโยบายการเมือง
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ที่ปีที่แล้วเคยเป็นตลาดที่มีความผันผวนน้อยกว่าในหลายประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เร่งตัวเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ แต่ปีนี้ลงไปเป็นตลาดหลักที่อ่อนแอที่สุดในโลก
ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดหุ้นที่อ่อนแอที่สุดในโลกไปแล้วเมื่อปิดตลาดวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากการจัดอันดับของ Investing.com พบว่า ดัชนี SET ของไทย ติดลบ 6.8% จากปีก่อนมากกว่าดัชนีที่อ่อนแอที่สุดเป็นอันดับ 2 อย่าง China A50 ที่ติดลบ 3.1% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ดัชนี IDX Composite ติดลบ 2.3% ฟิลิปปินส์ ดัชนี PSEi Composite ติดลบ 0.9% ส่วนเวียดนาม ดัชนี VN30 เพิ่มขึ้น 9.5%
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ที่ปีที่แล้วเคยเป็นตลาดที่มีความผันผวนน้อยกว่าในหลายประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เร่งตัวเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสกัดเงินเฟ้อมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงตลอดปี แต่ SET Index กลับเป็นดัชนีเพียงไม่กี่ดัชนีในโลกที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิรวมทั้งปีถึง 196,886 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่มีการเผยแพร่ข้อมูลนี้มาในปี 2535
แต่ล่าสุดปีนี้ SET ติดลบเกือบ 7% ขณะที่ทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก 10% ณ วันที่ 12 มิถุนายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วถึง 100,422.61 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ฟันธงตรงกันว่า สาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากการที่ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแข็งแกร่งสวนทางตลาดหุ้นโลกเมื่อปีก่อน ทำให้มูลค่า (Valuation) หุ้นไทยสูง จึงนำไปสู่การไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติ เพื่อไปลงทุนในตลาดที่มีอัปไซด์มากกว่า ประกอบกับมีการปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปีนี้้ลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
นอกจากนั้นหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมที่ออกมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไหลลงอย่างต่อเนื่อง จากผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายพรรค อาทิ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและการต่อต้านทุนผูกขาด ที่อาจเข้ามากดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ในมุมมองของนักลงทุน VI หรือ Value Investor อย่างดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรถึงกับเขียนบทความตั้งคำถามว่า นี่จะเป็นอวสานของตลาดทุนหรือไม่ เพราะนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเงินของพรรคก้าวไกลเปลี่ยนแนวทางจากเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ซึ่งมีข้อเสียหรือจุดอ่อนคือ คนรวยนั้นรวยขึ้นมากเกินไป ทำให้ความแตกต่างนั้นสูงลิ่ว
ดังนั้นนโยบายจึงเปลี่ยนมาเป็นการเก็บภาษีธุรกิจที่คนรวยเป็นเจ้าของมากขึ้น เก็บภาษีกิจกรรมที่คนรวยทำมากขึ้น และเก็บภาษีทรัพย์สินของคนที่รวยหรือมีความมั่งคั่งมากกว่าปกติมาก นอกจากนั้นยังจะจัดการกิจการของคนรวยที่ผูกขาด การทำธุรกิจที่เอารัดเอาเปรียบคนที่รวยน้อยกว่าหรือเป็นธุรกิจรายย่อย แล้วใช้เงินที่ได้เอามาแจกจ่ายหรือเป็นสวัสดิการให้แก่คนจน
ตัวอย่างภาษีที่ประกาศแล้วว่า อาจจะเก็บเช่น ภาษีนิติบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 23% ภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การจัดการกับการผูกขาดของบริษัทขนาดใหญ่มากที่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในตลาดหุ้น และการเก็บภาษีความมั่งคั่งสำหรับคนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเกินกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจำนวนมากก็เป็นคนที่ถือหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งหมดนั้นมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทและการประเมินมูลค่าหุ้นและอาจรุนแรง ซึ่งอาจทำให้หุ้นตก ส่งผลให้การระดมทุนเพื่อขยายกิจการไม่เติบโตและในบางกรณี ก็อาจจะมีการถอนทุน ออกจากประเทศไทยไปด้วย โดยคนที่ถอนอาจจะเป็นนักลงทุนต่างประเทศที่อาจมองว่า ตลาดหุ้นไทยไม่เติบโตและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นตลาดที่เติบโตเร็วกว่าและให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรืออาจจะเป็นนักลงทุนไทยเองที่หันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
นั่นก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลง ทำให้เม็ดเงินภาษีที่จะเก็บได้ลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อการให้สวัสดิการที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากในอนาคต และการตกลงของดัชนีตลาดหุ้น ยังส่งผลต่อคนชั้นกลางจำนวนมาก อาจเป็นหลายล้านคน ที่ลงทุนออมหุ้น เพื่อการเกษียณ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ลงทุนในหุ้นเองหรือผ่านกองทุนรวมหรือกองทุนต่างๆ ที่ลงทุนในหุ้นที่เป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ โดยเฉพาะการฝากเงินในธนาคาร
ถ้าหากว่า หุ้นไทยตกลงต่อเนื่องระยะยาว อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร สิ่งที่กลัวก็คือ ตลาดหุ้นและตลาดทุนจะวาย ลงทุนแล้วดัชนีมีแต่จะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ นี่ก็อาจจะเป็นอวสานของตลาดหุ้นที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร
ไม่ใช่แค่นั้น นิติสงครามทางการเมือง ยังเป็นปัจจัยหลักในความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นในขณะนี้อีกด้วย