
หลังจากที่เราได้ศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้น DELTA ในรอบนี้ มันมีสิ่งหนึ่งที่เราคิดว่า “น่าเกลียด” เกินไป อย่างที่ทุกท่านทราบ ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการเตรียมการและประกาศใช้มาตรการ "ปรับเกณฑ์คำนวนดัชนี SET50 แบบใหม่” ด้วยการจำกัดน้ำหนัก(Capped Weight) ไม่ให้เกิน 10% มีเป้าหมายเพื่อลดถอนอำนาจของ DELTA โดยเฉพาะ ซึ่งประโคมข่าวตั้งแต่ต้นปีและประกาศใช้จริงในวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ผลลัพธ์กลับพบว่า ในวันแรกของการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว ราคาหุ้น DELTA กลับปรับตัวขึ้นทันที 8.33% จากนั้นก็พุ่งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาถึง 139 บาทในปัจจุบัน คิดเป็น 45% ซึ่งนี่ถือเป็นการกระทำที่โจ่งครึ้มและตอกหน้ากันอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ เราจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เป็นหลักฐานสนับสนุนว่าทำไม DELTA จึงยังเป็นหุ้นที่ถูกใช้ในการทำราคา และที่สำคัญเรามี Case Study มาให้ทุกท่านเตรียมใช้ประโยชน์ในการลงทุนต่อจากนี้
ตารางแสดงมูลค่าตลาด(Market Cap.)ของหุ้นใน SET50 พร้อมผลกระทบต่อดัชนี

DELTA ยังทรงอำนาจที่สุดใน SET50 อยู่เพียงผู้เดียวเช่นเคย
อันดับแรกเรามาเริ่มต้นกันด้วยการทำความเข้าใจมาตรการใหม่กันก่อน โดยจากตารางเราได้ลองคำนวณเปรียบเทียบผลกระทบต่อดัชนี SET50 ทั้งแบบเดิมและเกณฑ์ใหม่ พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ เมื่อหุ้นตัวใดมีสัดส่วนมูลค่าตลาดสูงเกิน 10% จะถูกจำกัดผลกระทบต่อดัชนี Max สุดไว้ที่ 10% เท่านั้น โดย ณ วันสุดท้ายของไตรมาสพบว่ามีเพียงหุ้น DELTA เท่านั้นที่เกินเกณฑ์ โดยมีสัดส่วน 12.27% ดังนั้น จึงนำไปสู่การปรับลดน้ำหนักให้เหลือเพียง 10% ส่วนเกินอีก 2.27% นั้นจะถูกเฉลี่ยให้กับหุ้นอีก 49 ตัวที่เหลือตามสัดส่วน ส่งผลให้หุ้นอย่าง PTT,ADVANC,GULF มีน้ำหนักเพิ่มเป็น 9%, 8.68% และ 6.08% ตามลำดับ (ตัวอื่น ๆ สามารถดูได้ในตาราง) อย่างไรก็ตามจากผลลัพธ์ก็คงปฏิเสธไมได้ว่า DELTA ก็ยังนำที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญอยู่เพียงผู้เดียว
ตารางแสดงการเคลื่อนไหวเฉลี่ยต่อวัน/ปริมาณการซื้อขายวันนั้นของหุ้น TOP10

ต่อมาเราได้ทำการคำนวณ “ความยาก-ง่ายในการทำราคา” ของหุ้นในกลุ่ม TOP10 โดยใช้วิธีตรวจสอบว่าหากต้องการให้ราคาหุ้นขยับขึ้นหรือลง 1% จะต้องใช้เม็ดเงินเท่าใด วิธีคิดคือ นำมูลค่าการซื้อขายในวันนั้น หารด้วย %การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในวันเดียว ดังตัวอย่าง
EX1 : ในวันพฤหัสที่ 18 ก.ค. หุ้น DELTA มีการปรับตัวขึ้น 15.72% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 6,331 ล้านบาท ดังนั้น จึงตีความได้ว่าการขึ้นของ DELTA 1% จะต้องใช้เงิน 6,331/15.72 = 402.73 ล้านบาท
EX2 : ในวันเดียวกัน หุ้น PTT มีการปรับตัวขึ้น 1.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,918 ล้านบาท จึงตีความได้ว่าการขึ้นของ PTT 1% จะต้องใช้เงิน 1,918/1.62% = 1,184 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้มากกว่า DELTA ถึง 3 เท่า !
และเพื่อความยุติธรรมเราจึงนำข้อมูลที่ได้ของทุกวันตลอดทั้งปีนี้มาหาค่าเฉลี่ยได้ผลลัพธ์ ดังนี้
- TRUE เป็นหุ้นที่มีการใช้เม็ดเงินในการทำราคาน้อยที่สุด โดยเฉลี่ยการเคลื่อนไหว 1% จะใช้เพียง 538 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก เพราะ TRUE เป็นหุ้นที่มี MKT.Cap เป็นลำดับท้าย ๆ ของ TOP10 (ลำดับ 9)
- DELTA เป็นหุ้นที่มีการใช้เม็ดเงินทำราคาน้อยสุดเป็นลำดับ 2 โดยใช้เพียง 648 ล้านบาทต่อ 1% ซึ่งมากกว่า TRUE อยู่เล็กน้อยเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเองมี MKT. Cap ใหญ่ที่สุดในตลาด โดยมีมูลค่าสูงกว่า TRUE ถึงเกือบ 4 เท่า !
- AOT ตามมาเป็นลำดับ 3 โดยใช้เม็ดเงินเฉลี่ย 657 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ DELTA เป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เวลาเราเห็นดัชนี SET,SET50 ขึ้น/ลง มักจะเห็น AOT ปรากฏเคียงคู่ DELTA อยู่เสมอ เช่นเดียวกับในรอบนี้
ตารางแสดงการ %การเคลื่อนไหวและเม็ดเงินเฉลี่ยที่จะทำให้ SET50 เปลี่ยนแปลง 1 จุด

สุดท้าย เมื่อเรานำผลกระทบของหุ้นแต่ละตัวที่มีต่อ SET50 มาคำนวณร่วมกับค่าเฉลี่ยเม็ดเงินใช้ในการขยับของราคาหุ้น ก็จะทำให้รู้คำตอบโดยประมาณของปริมาณเงินที่ต้องใช้ในการทำให้ดัชนีเปลี่ยนแปลง 1 จุด โดยได้ข้อสรุปดังนี้
- DELTA เป็นหุ้นที่ใช้เม็ดเงิน “น้อยที่สุด” ในการทำให้ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลง 1 จุด โดยเฉลี่ยใช้เพียง 831 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าตัวอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
- กลุ่มอันดับรองลงมาจะเห็นว่าค่อนข้างกระจุกตัว โดยประกอบไปด้วยหุ้นใหญ่อย่าง PTT, TRUE, GULF, AOT, PTTEP และ ADVANC โดยใช้เม็ดเงินเฉลี่ย 1,700-2,000 ล้านบาทต่อการทำให้ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลง 1 จุด ซึ่งเป็นค่าที่มากกว่า DELTA ประมาณ 2 – 2.5 เท่าตัว
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเราจึงเห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้มักจะถูก “ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน” ในการขึ้น-ลงแรงในแต่ละรอบของตลาด ยกตัวอย่างเช่นรอบปีก่อนที่ GULF มีบทบาท ส่วนในรอบปีนี้เปลี่ยนมาเป็น AOT ที่มีบทบาทแทน และเราคาดว่ามันจะสลับกันเช่นนี้ควบคู่กับ DELTA ต่อ ๆ ไป
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA กับดัชนี SET50 ในช่วงขาขึ้นรอบก่อน (ครึ่งปีหลังของปี 2024)

นอกจากนี้เรายังมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรม “การปล่อยของ” ของเจ้ามือ ที่อยากนำมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้พิจารณา โดยจากรูปจะเห็นว่า ดัชนี SET50 ทำจุดสูงสุด(High) ในช่วงปลายเดือน ต.ค. 2024 ขณะที่หุ้น DELTA ยังถูกลากต่อไปอีกเป็นเวลา 1 เดือน ก่อนที่จะทำสูงสุดในช่วงเดือน พ.ย. 2024 ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวขึ้นอีกกว่า 30 บาท หรือ 30% โดยการทำเช่นนี้เราคาดการณ์ว่าเป็น “การใช้ DELTA เพื่อพยุงตลาด” เพื่อสร้างภาพลวงตาให้นักลงทุนทั่วไปเข้าใจว่าตลาดยังไม่ปรับฐานหรือยังไม่ถึงจุดเสี่ยงที่จะลง ทั้งที่ในความเป็นจริง “พวกเขาค่อย ๆ ทยอยขายหุ้นตัวอื่นออกไปแล้ว”
หลักฐานสำคัญ คือในช่วงระหว่างหมาย 1 กับหมายเลข 2 ข้อมูล Fund Flow หุ้นและ TFEX สะสมพบว่า “ต่างชาติมีการขายหุ้นสุทธิ 20,000 ล้าน และ Short สุทธิ TFEX 90,000 สัญญา” จากนั้นตลาดหุ้นไทยก็ถล่มลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ในปีนี้พร้อม ๆ กับการปรับฐานของหุ้น DELTA ก่อนจะกลับมามีสตอรี่ลากขึ้นอีกครั้งในช่วงนี้ ดังนั้น หากรูปแบบราคายังคงเกิดซ้ำอีกในรอบปัจจุบัน เราขอแนะนำให้ทุกท่านสังเกตพฤติกรรมของ DELTA ควบคู่ไปกับภาพรวมของตลาดอย่างใกล้ชิด "หากตลาดเริ่มอ่อนแรงแต่ DELTA ยังแข็งแกร่งผิดปกติ" ควรพิจาณาลดระดับการลงทุนและเฝ้าระวังความเป็นไปได้ของ “การจบรอบ” ที่อาจกำลังใกล้เข้ามา
สุดท้ายก่อนที่จะจากกันพวกเราในฐานะของคนที่ศึกษาข้อมูล DELTA มาตลอด เรายังมีข้อมูลพฤติกรรมที่น่าสนใจอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น “การจบรอบ" ที่มักจะลงแบบไม่ทันตั้งตัวชนิดที่ว่า “ต่างชาติเองก็คาดไม่ถึง” โดยเราได้ศึกษาตั้งแต่ปี 2021 ที่มันเข้ามามีอิทธิพลต่อตลาด, ตอนหลุดออกไปในปี 2022 รวมถึงตอนกลับเข้ามาใหม่ในปี 2023- ปัจจุบัน ซึ่งพบว่ามีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ถ้าใครสนใจหรืออยากได้ข้อมูลไหนก็ลองคอมเม้นและเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ และหากยังมีคนสนใจยังมีคนสนใจรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ DELTA เราจะจัดทำบทความเต็มรูปแบบพร้อม Live ในวันเสาร์นี้ ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
Credit : https://www.facebook.com/tfexforfuture
ร่วมพูดคุยทิศทางราคาหุ้น&TFEX ได้ที่
Line OpenChat : TFEX For Future

https://line.me/ti/g2/btLW138AZRRYIUeuCe-5GQ
