การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจและอุตสาหกรรมไม่เว้นแม้แต่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร แต่ท่ามกลางวิกฤติย่อมมีโอกาส ซึ่งหลังจากนี้เทรนด์พฤติกรรมมนุษย์จะเปลี่ยนไปและไม่กลับมาเหมือนเดิม เพราะมนุษย์จะให้ความสำคัญในเรื่องอาหาร และสุขภาพความปลอดภัย จะถูกคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆมากกว่าเพียงความอร่อย ซึ่งในวิกฤติโควิด19 หลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนอาหาร เพราะการขนส่งระหว่างเมืองถูกชัตดาวน์ บางประเทศประสบปัญหาต้องปิดโรงงาน ทำให้เกิดปัญหาภาวะอาหารขาดแคลนมากมาก แต่โชคดีที่ประเทศไทย มีอุตสหกรรมการผลิตอาหารที่เข้มแข็ง และเราสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้ดี ทำให้เราไม่ประสบปัญหาการการขาดแคลนอาหารเลย
ซึ่งวันนี้หากถามถึงบริษัทไทยที่มีบทบาทสำคัญเรื่องความมั่นคงอาหาร ก็คงต้องพูดถึง เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ที่ไม่ใช่แค่มีบทบาทสำคัญแค่เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร world food security ในระดับโลกด้วย เพราะรายได้หลักของธุรกิจในเครือซีพี มาจากต่างประเทศกว่า 60% หากจะกล่าวว่า ซีพี เป็นบริษัทผลิตอาหารรายใหญ่ติดอันดับต้นๆของโลก ก็ไม่ผิดนัก ความน่าสนใจคือ ซีพีมีหลักคิดอย่างไรในการพาบริษัทไทยก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
ในเรื่องนี้ นายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ประธานธุรกิจ-สหรัฐอเมริกา บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวถึงประสบการณ์การลงทุนในต่างประเทศของเครือซีพี บนเสวนาภายใต้หัวข้อ “Select USA : Helping Thai Companies Go Global” ว่า
“หลังจากที่กลุ่มบริษัทประสบความสำเร็จในประเทศแล้ว จึงมองว่าการที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไปมีความจำเป็นต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐที่มีขนาดตลาดผู้บริโภค (consumer market) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีวัตถุดิบที่พร้อมรองรับธุรกิจอาหาร รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอีกด้วย
โดยในการออกไปลงทุนต่างประเทศจะต้องมีการตัดสินใจและกำหนดทิศทางที่จะไปให้ชัดเจน ซึ่งกลุ่ม ซี.พี.ใช้กลยุทธ์ผ่านการ “ซื้อ” (buy) และ “สร้าง” (build) โดยเริ่มต้นจากการ “ซื้อ” ธุรกิจที่มีอยู่แล้วในสหรัฐ เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งในพื้นที่ วิธีการดังกล่าวช่วยให้บริษัทเข้าใจวัฒนธรรมของตลาด เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในพื้นที่ได้ดี อีกทั้งเป็นการปูทางให้บริษัทมีแพลตฟอร์มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต
ขณะที่กลยุทธ์การ “สร้าง” นั้น การที่จะเริ่มสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ (greenfield project) จะต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่บริษัทยังไม่ทราบ หรือไม่มีความรู้ในการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ ในการนี้บริษัทจึงได้ประโยชน์จากการที่มีทีมงานที่แข็งแกร่งในพื้นที่เป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจ
ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะแต่ละประเทศต่างมีปัจจัยเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในสหรัฐที่แต่ละรัฐ (state) มีความแตกต่างทั้งในแง่ของกฎหมาย ภาษี หลักเกณฑ์การปฏิบัติ ฯลฯ ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะเข้าไปลงทุน
สอดคล้องถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าสัวธนินท์ ที่เคยกล่าวถึงการลงทุนในต่างประเศของซีพี ที่ยึดมั่นมาโดยตลอด
“เวลาซีพีไปลงทุนในประเทศอื่น ต้องถ่อมตน ให้คนในท้องถิ่นดูแล เพราะเขาจะเข้าใจประเทศนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง ทุกทวีปมีความแตกต่างกัน ซีพีไปทำธุรกิจประเทศไหน สิ่งแรกที่ต้องคิดคือ จะทำประโยชน์ให้ประเทศนั้นได้อย่างไร และตามมาด้วยประชาชนของเขาจะได้ประโยชน์อย่างไร เราจึงต้องทำของดีราคาถูก”
ทั้งนี้ ซีพีกำลังก้าวเข้าสู่บริษัทอายุ 100 ปี ที่ออกไปเติบโตในต่างประเทศ เทียบเคียงกับบริษัทชั้นนำของประเทศต่างๆ การที่บริษัทคนไทยอย่างซีพี ก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก เจ้าสัวธนินท์ กล่าวว่า เราดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่หากเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เรายังคงต้องเรียนรู้ทุกวัน พัฒนาทุกวัน ดังคำกล่าวที่ว่า ดีใจได้วันเดียว พรุ่งนี้ก็ต้องปรับปรุงอยู่เสมอ แต่วันนี้สิ่งที่ซีพีทุกคนภูมิใจคือ การเป็นบริษัทไทยที่ขยายไปทั่วโลก สร้างงาน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ดึงเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ดังคำกล่าวที่ว่า “Proud to be Thai”
ที่มา : workpointtoday, brandinside, prachachat